แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ที่บัญญัติให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล เป็นที่เห็นได้ว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจึงมีอำนาจเปลี่ยนแปลง แก้ไข ยกเลิก หรือเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ เมื่อโจทก์ที่ 1 ยังอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลอยู่ กรมสรรพากรจำเลยจะมีสิทธิได้รับชำระภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วหรือไม่ จึงต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเสียก่อนการที่โจทก์ที่ 1 ไม่ชำระภาษีตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงหาเป็นการโต้แย้งสิทธิที่จำเลยจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ไม่ เพราะมิฉะนั้นบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลจะไร้ผล ห้างหุ้นส่วนจำกัดส. เป็นหนี้โจทก์ที่ 2 ค่าซื้อสินค้าเป็นเงิน 1,352,680 บาท ห้างดังกล่าวถูกบริษัท ฮ.ฟ้องล้มละลาย และศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2525 โจทก์ที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวข้างต้น เมื่อวันที่18 พฤศจิกายน 2525 ศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของห้างนั้น แต่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ติดตามยึดทรัพย์สินของลูกหนี้และขายทอดตลาดได้เงิน 400,000 บาทเศษสภาพของทรัพย์ที่ยึดส่วนใหญ่ไม่มีราคา หุ้นส่วนผู้จัดการและผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างลูกหนี้หลบหนีจนต้องออกหมายจับ จำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ก็มีถึง 59 ล้านบาทเศษ และในการแบ่งทรัพย์ครั้งที่ 1 โจทก์ที่ 2 ได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 1.85 คิดเป็นเงินเพียง25,024.85 บาท และไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะติดตามยึดได้อีกข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ที่ 2 ได้กระทำการตามสมควรเพื่อที่จะให้ได้รับชำระหนี้ตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ(9) ที่ใช้บังคับอยู่ในปี 2525 แล้ว โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิจำหน่ายหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้สูญในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2525 ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลภาษีอากรกลางสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันโดยกำหนดให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1เรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 และเรียกกรมสรรพากรจำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลย
สำนวนแรก โจทก์ที่ 1 ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ประเมินและมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ที่ 1ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2525 พร้อมเบี้ยปรับรวมเป็นเงิน 772,632.20 บาท ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะค่าใช้จ่ายจำนวน 255,524.19 บาท เป็นค่าตกแต่งสำนักงานของโจทก์ที่ 2 ในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการตรวจสอบอันเป็นค่าใช้จ่ายที่มีการจ่ายจริง เกี่ยวเนื่องกับกิจการของโจทก์ที่ 2 และชอบด้วยกฎหมาย ส่วนหนี้สูญจำนวน 1,352,680 บาทโจทก์ได้ปฏิบัติโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แล้วแต่ไม่ได้รับชำระหนี้ โจทก์ชอบที่จะจำหน่ายหนี้สูญได้ตามมาตรา 65 ทวิ (9)และโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขอให้งดเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับ
จำเลยให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้วขอให้ยกฟ้อง
หลังจากโจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีสำนวนแรกและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง จำเลยได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนวนหลังต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระค่าภาษีจำนวนเดียวกับที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในสำนวนแรก ซึ่งโจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีทำนองเดียวกับที่กล่าวในคำฟ้องสำนวนแรก และต่อสู้ด้วยว่าจำเลยไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เฉพาะในเรื่องการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จำนวน 1,352,680 บาท โดยถือว่าไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (9) ยกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 191/2532 (คดีสำนวนหลัง)
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยมีอำนาจฟ้องคดีสำนวนหลัง (คดีหมายเลขดำที่ 191/2532 ของศาลภาษีอากรกลาง)หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ตรวจสอบการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ที่ 2 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2525 แล้วมีหนังสือลงวันที่ 31 มกราคม 2532 แจ้งการประเมินให้โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของโจทก์ที่ 2 ชำระภาษีให้จำเลยเป็นเงินทั้งสิ้น 1,030,176.27 บาท โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยให้ลดเบี้ยปรับที่ได้เรียกเก็บไปแล้วลงคงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายคงให้โจทก์ที่ 1 ชำระภาษีพร้อมเบี้ยปรับแก่จำเลยเป็นเงิน772,632.20 บาท โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางตามคดีสำนวนแรก (คดีหมายเลขดำที่ 145/2532 ของศาลภาษีอากรกลาง) ขณะที่คดีสำนวนแรกอยู่ในระหว่างการพิจารณา จำเลยฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองชำระภาษีที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้โจทก์ที่ 1 ชำระให้แก่จำเลยเป็นคดีสำนวนหลังปัญหาจึงอยู่ที่ว่าการที่โจทก์ที่ 1 ไม่ชำระเงินตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้แก่จำเลย เป็นการโต้แย้งสิทธิที่จำเลยจะนำคดีมาฟ้องได้หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่าบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) บัญญัติว่า “ฯลฯ ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล ฯลฯ” เป็นที่เห็นได้ว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบหรือไม่ ศาลจึงมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข ยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ เมื่อโจทก์ที่ 1 ยังอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลอยู่จำเลยมีสิทธิจะได้รับชำระภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วหรือไม่จึงต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเสียก่อน การที่โจทก์ที่ 1 ไม่ชำระภาษีตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงหาได้เป็นการโต้แย้งสิทธิที่จำเลยจะนำคดีมาฟ้องไม่ เพราะมิฉะนั้นบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลจะไร้ผล ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องคดีสำนวนหลังจึงชอบแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไป ตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายว่าการที่โจทก์ทั้งสองจำหน่ายหนี้ที่โจทก์ที่ 2 มีต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดสหพิบูลย์วิทยุโทรทัศน์และการไฟฟ้า จำนวน 1,352,680 บาทเป็นหนี้สูญนั้น ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (9) ที่ใช้บังคับอยู่ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2525 หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหพิบูลย์วิทยุโทรทัศน์และการไฟฟ้า เป็นหนี้โจทก์ที่ 2 ค่าซื้อสินค้าเป็นเงิน 1,352,680 บาท ห้างดังกล่าวถูกบริษัทโฮมอีเลคโทรนิคส์ จำกัด ฟ้องล้มละลายและศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2525 โจทก์ที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวข้างต้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน2525 ศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของห้างนั้น แต่ปรากฏตามคำเบิกความของนายชลิต อินทรวิมลเมธาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ในคดีดังกล่าวว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ติดตามยึดทรัพย์สินของลูกหนี้และขายทอดตลาดได้เงิน400,000 บาทเศษ สภาพของทรัพย์ที่ยึดส่วนใหญ่ไม่มีราคา หุ้นส่วนผู้จัดการและผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างลูกหนี้หลบหนีจนต้องออกหมายจับจำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระจากกองทรัพย์สินของห้างลูกหนี้มีถึง59 ล้านบาทเศษ ในการแบ่งทรัพย์ครั้งที่ 1 โจทก์ที่ 2 ได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 1.85 คิดเป็นเงินเพียง 25,024.58 บาท และไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะติดตามยึดได้อีกจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้กระทำการตามสมควรเพื่อที่จะให้ได้รับชำระหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (9) ที่ใช้บังคับอยู่ในปี2525 แล้ว โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิจำหน่ายหนี้จำนวนดังกล่าวเป็นหนี้สูญในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2525 ได้ หาจำต้องรอจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาให้ห้างลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายเสียก่อนจึงจะจำหน่ายเป็นหนี้สูญได้ดังจำเลยอุทธรณ์ไม่
พิพากษายืน