คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์อ้าง ด. จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2699/2529ของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานคดีนี้โดยพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวน ด.ไว้เป็นพยาน แม้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 232 ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน แต่ ด. มิได้เป็นจำเลยร่วมกับจำเลยนี้ กรณีจึงมิใช่โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานและแม้พนักงานสอบสวนจะมิได้สอบสวน ด.ไว้ในฐานะพยานก็ตามแต่พนักงานสอบสวนได้สอบพยานหลักฐานต่าง ๆในคดีนี้มาแล้ว จึงถือว่ามีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และพยานโจทก์ที่เบิกความในศาลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพยานในชั้นสอบสวนศาลย่อมรับฟังคำเบิกความของ ด. ลงโทษจำเลยได้ การที่ผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้ ด.เพราะเหตุว่าด.จะนำรูปถ่ายของผู้เสียหายซึ่งแต่งตัวเป็นฆราวาสไปโฆษณาอันเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหาย และผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้ ด.แม้ด. จะยังมิได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปก็เป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์สำเร็จแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า ผู้เสียหายและจำเลยรู้จักกันเพราะจำเลยเคยบวชและเป็นเจ้าคณะตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อจำเลยลาสิกขาแล้วผู้เสียหายได้รักษาการเจ้าคณะตำบลดังกล่าวแทนจำเลย ต่อมาจำเลยทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายส่งเสริมวัฒนธรรมและสังคมของหนังสือพิมพ์เสียงชนบท จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนนายดวงจันทร์ ขุนนาจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2699/2529 ของศาลชั้นต้นได้ทำงานอยู่กับจำเลย ผู้เสียหายเคยถ่ายรูปเป็นฆราวาสในขณะที่ยังบวชอยู่ผู้เสียหายได้มอบรูปถ่ายดังกล่าวให้จำเลยต่อมาจำเลยได้มอบรูปถ่ายของผู้เสียหายให้นายดวงจันทร์ไปขู่เอาเงินจากผู้เสียหายหากไม่ให้เงินจะนำรูปถ่ายดังกล่าวไปโฆษณา จนผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้นายดวงจันทร์ มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์อ้างนายดวงจันทร์ ขุนนา จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2699/2529 ของศาลชั้นต้นมาเป็นพยาน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 232 และคดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวนนายดวงจันทร์ไว้เป็นพยาน การสอบสวนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำเบิกความของนายดวงจันทร์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 232 ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน แต่นายดวงจันทร์มิได้เป็นจำเลยร่วมกับจำเลยนี้ โจทก์จึงมิได้อ้างจำเลยเป็นพยานตามที่จำเลยฎีกาแม้พนักงานสอบสวนจะมิได้สอบสวนนายดวงจันทร์ไว้ในฐานะพยานก็ตาม แต่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนพยานหลักฐานต่าง ๆในคดีนี้มาแล้ว จึงถือว่ามีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และพยานโจทก์ที่เบิกความในศาลไม่จำเป็นต้องเป็นพยานในชั้นสอบสวน ศาลย่อมรับฟังคำเบิกความของนายดวงจันทร์ลงโทษจำเลยได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จำเลยฎีกาต่อไปว่า การที่ผู้เสียหายมอบเงินให้นายดวงจันทร์โดยนำธนบัตรฉบับละ 500 บาท 2 ฉบับ มาปิดหัวปิดท้ายกระดาษธรรมดาและยังให้เจ้าพนักงานตำรวจซ่อนตัวอยู่ในกุฏิเพื่อจับกุมจำเลย ทั้งขณะที่ผู้เสียหายมอบเงินให้นายดวงจันทร์ แต่นายดวงจันทร์ขอให้ไปมอบที่อื่นการกระทำของนายดวงจันทร์จึงยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ ศาลจะลงโทษจำเลยฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ไม่ได้นั้นเห็นว่า การที่ผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้นายดวงจันทร์เพราะเหตุว่านายดวงจันทร์จะนำรูปถ่ายของผู้เสียหายซึ่งแต่งตัวเป็นฆราวาสไปโฆษณาอันเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหาย และผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้นายดวงจันทร์ไปแม้นายดวงจันทร์จะยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share