แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามรายงานกระบวนพิจารณาบันทึกว่าศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยเมื่อเวลา 9.30 น. ต่อมาวันเดียวกันเวลา 14.45 น. ทนายจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ศาลสั่งรวมสำนวน ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลแล้วจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ จำเลยเคยขอเลื่อนคดีมา 2 นัดแล้ว นัดแรกจำเลยอ้างว่าป่วยครั้นถึงวันนัดที่สอง จำเลยไม่ได้เตรียมพยานอื่นมา ศาลได้ให้โอกาสจำเลยเลื่อนคดีนัดที่สองไปโดยกำชับให้จำเลยนำพยานที่จะสืบทั้งหมดมาศาลในวันนัดและเลื่อนคดีไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษ จำเลยยังไม่นำพยานมาศาลในวันนัดถือว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีศาลจึงชอบที่จะไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลย.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากจำเลยยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาด
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์ดังกล่าวยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดการไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าตามคำร้องของจำเลยไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาจำเลยจึงไม่มีอำนาจที่จะร้องขอให้ขายทอดตลาดใหม่ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลย แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 ตุลาคม 2532 บันทึกว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยเมื่อเวลา 9.30 นาฬิกา ต่อมาวันเดียวกันเวลา 14.45 นาฬิกา ทนายจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งรวมสำนวนปรากฏตามคำร้องลงวันที่ 26 ตุลาคม 2532 เอกสารอันดับที่ 95 ในสำนวนถือว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยชอบหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าศาลชั้นต้นนัดไต่สวนพยานจำเลย 3 นัด นัดแรกเมื่อวันที่ 21สิงหาคม 2532 จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าจำเลยป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยกำชับจำเลยให้เตรียมพยานมาให้พร้อมในวันนัดนัดที่สองเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2532 สืบพยานจำเลยได้ 1 ปากโดยจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน แล้วจำเลยขอเลื่อนคดี อ้างว่ามิได้เตรียมพยานอื่นมา เพราะทนายจำเลยเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องเตรียมพยานมาให้พร้อม ไม่ใช่ว่าหากทนายจำเลยไปต่างจังหวัดแล้วไม่ต้องเตรียมพยานอื่นมาศาล ก่อนหน้านี้จำเลยก็ขอเลื่อนคดีมานัดหนึ่งแล้วพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี แต่เพื่อให้โอกาสจำเลยสู้คดีได้เต็มที่จึงให้เลื่อนคดีไปอีกครั้งหนึ่ง โดยกำชับจำเลยว่าในนัดหน้าให้นำพยานที่จะสืบทั้งหมดมาศาล ครั้นถึงนัดที่สามวันที่ 26 ตุลาคม 2532 ทนายจำเลยมาศาลขอเลื่อนคดี โดยไม่มีพยานจำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นจึงสั่งตัดพยานจำเลยเห็นว่า จำเลยเคยขอเลื่อนคดีมา 2 นัด นัดแรกจำเลยอ้างว่าป่วย ครั้นถึงวันนัดที่สองจำเลยไม่ได้เตรียมพยานอื่นมา ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีแต่ก็ได้ให้โอกาสจำเลยเลื่อนคดีนัดที่สองไปโดยกำชับจำเลยให้นำพยานที่จะสืบทั้งหมดมาศาลในวันนัด เมื่อถึงวันนัด จำเลยกลับไม่มีพยานมาศาลเลย ซึ่งแสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่าจำเลยมิได้นำพาต่อคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาศาลให้พร้อม ข้ออ้างของทนายจำเลยที่ว่า ได้ติดต่อนายสุรพลศิริศรีบุญเรือง และนายรุ่น บุญญานุวัฒน์ แล้ว พยานทั้งสองรับว่าจะมาเบิกความ แต่พยานทั้งสองไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง และนายสุรพล บุณยรัตพันธ์ พยานอีกปากหนึ่งไปบวชเป็นพระภิกษุไม่เต็มใจมาศาล ทั้งไม่ทราบว่าบวชอยู่วัดใดนั้นเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน จึงไม่น่าเชื่อถือคดีนี้ศาลชั้นต้นได้กำชับจำเลยหลายครั้งแล้ว และครั้งสุดท้ายได้ให้โอกาสจำเลยเลื่อนคดีไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษ จำเลยยังไม่นำพยานมาศาลในวันนัด ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.