คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3301/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป.รัษฎากร มาตรา 21 บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ต้องชำระไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรเท่านั้น หาได้บัญญัติให้ต้องแจ้งไปยังผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนผู้ต้องเสียภาษีอากรด้วยไม่ ห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์อยู่ก่อนที่จำเลยที่ 2 ออกจากหุ้นส่วน 2 ปี โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 โจทก์บรรยายฟ้องโดยระบุข้อเท็จจริงไว้แล้วว่า รายจ่าย 5 รายการเป็นรายจ่ายต้องห้ามตาม ป.รัษฎากร มาตรา 65 ตรี เพราะไม่มีหลักฐานการจ่ายย่อมเข้าใจได้แล้วว่าหมายถึงรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา65 ตรี(18) หาจำต้องระบุอนุมาตราด้วยไม่ เจ้าพนักงานประเมินอาศัยอำนาจตาม ป.รัษฎากร มาตรา 21 ที่บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผู้ต้องเสียภาษีเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน และผูกพันจำเลยที่ 1 ให้มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีตามการประเมิน จะนำหนี้ของจำเลยที่ 1 มาใช้ยันแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต่อสู้คดีได้ว่าการประเมินไม่ชอบ การที่เจ้าพนักงานประเมินใช้ข้อมูลการซื้อน้ำมันชนิดต่าง ๆมาจำหน่ายประกอบกับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลงบกำไรขาดทุน แบบแสดงรายการการค้า บันทึกราคาขายส่งมาเปรียบเทียบคำนวณหา ยอดเงินได้ของจำเลยที่ 1 แล้วนำมาปรับปรุงคำนวณหากำไรสุทธิของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นการประเมินที่ชอบ ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินเพิ่มแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นการเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพราะ ป.รัษฎากรมาตรา 27 วรรคสามบัญญัติว่า เงินเพิ่มที่คำนวณได้มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 37,861.57 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งออกจากหุ้นส่วนแล้วแต่ยังไม่เกินสองปี และจำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดในหนี้ภาษีที่ค้างชำระจำนวนดังกล่าวด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่เคยมีหนังสือให้จำเลยที่ 2มาให้ถ้อยคำเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โจทก์ดำเนินคดีโดยไม่สุจริตปกปิด อำพรางพยานหลักฐาน จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในยอดเงินตามฟ้อง การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ปี พ.ศ. 2528มีค่าใช้จ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เป็นเงิน97,750.96 บาท ตามอนุมาตราใดและมีระเบียบใดให้อำนาจพนักงานของโจทก์ในการปรับปรุงรายรับของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ไม่เข้าใจข้อกล่าวอ้างของโจทก์ จึงไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าภาษีจำนวน 37,861.57 บาท แก่โจทก์ พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากเงินภาษี 16,043.04 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ประเด็นแรกที่จำเลยที่ 2อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ส่งแบบแจ้งการประเมินภาษีอากรให้จำเลยที่ 2ทำให้จำเลยที่ 2ไม่มีโอกาสคัดค้านการประเมินถือได้ว่าโจทก์มิได้ประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ในอันที่จะให้จำเลยที่ 2ผู้ออกจากหุ้นส่วนไปไม่เกินสองปีต้องรับผิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนให้ร่วมรับผิดอันเกี่ยวกับหนี้ค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 ออกจากหุ้นส่วนไปยังไม่เกินสองปี ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068บัญญัติความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่ออกจากหุ้นส่วนไปไว้ จำเลยที่ 2 มิได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดได้แต่ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวไว้แล้วพอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 โต้เถียงว่าการประเมินไม่ชอบเพราะไม่แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาจึงมีว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 1 แล้วต้องแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 2 ทราบด้วยหรือไม่ ประมวลรัษฎากร มาตรา 21 บัญญัติว่าถ้าผู้ต้องเสียภาษีอากรไม่ปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานตามมาตรา 19 หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเงินภาษีอากรตามที่รู้เห็นว่าถูกต้องและแจ้งจำนวนเงินซึ่งต้องชำระไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากร ในกรณีนี้ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน ดังนี้เห็นได้ว่ากฎหมายบัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินแจ้งจำนวนภาษีที่ต้องชำระไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรคือจำเลยที่ 1 เท่านั้น หาได้บัญญัติให้ต้องแจ้งไปยังจำเลยที่ 2 ด้วยไม่ เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่ต้องส่งแบบแจ้งการประเมินไปให้จำเลยที่ 2 ทราบ เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 21 แล้วการประเมินจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2ให้รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 ดังได้วินิจฉัยแล้ว
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในข้อต่อมาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะคำฟ้องระบุแต่ยอดเงินจำนวน 97,750.96 บาท ว่าเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี แต่มิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าต้องห้ามตามอนุมาตราใด ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกนั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกที่ออกตามประมวลรัษฎากร มาตรา19 เจ้าพนักงานประเมินจึงได้อาศัยข้อมูลของบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทยจำกัด ที่จำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันชนิดต่าง ๆ จากบริษัทดังกล่าวมาจำหน่ายประกอบกับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้า ตลอดจนงบกำไรขาดทุนของจำเลยที่ 1 ที่ยื่นไว้มาทำการตรวจสอบคิดคำนวณได้ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้จากการจำหน่ายน้ำมันขาดไป 233,505.81 บาท รายรับค่ารับจ้างล้างอัดฉีดรถยนต์ขาดไป 3,000 บาท กับมีรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี 5 รายการ เป็นเงิน 97,750.96 บาท เพราะเป็นรายจ่ายที่ไม่มีหลักฐานการจ่าย เมื่อนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาปรับปรุงแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี พ.ศ. 2528ของจำเลยที่ 1 เสียใหม่จำเลยที่ 1 มีกำไรสุทธิ 40,107.60 บาทต้องเสียภาษีเป็นเงิน 16,043.04 บาท เบี้ยปรับหนึ่งเท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ 16,043.04 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งการประเมินและแจ้งเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิแล้วไม่ชำระเงินภายใน 30 วันจึงต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ค้างชำระ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1ต้องร่วมรับผิดในหนี้ค่าภาษีของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนไปยังไม่เกินสองปี กับมีคำขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่เข้าใจได้ชัดแจ้งว่าเหตุที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีโจทก์ก็เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และเจ้าพนักงานประเมินได้หลักฐานข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนกับมีรายจ่ายต้องห้าม เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจปรับปรุงรายการเสียใหม่ให้ถูกต้อง และแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 1 เสียภาษีและเบี้ยปรับได้ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ด้วย จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว โจทก์ไม่จำต้องระบุว่า รายจ่ายทั้ง 5 รายการนั้นต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี อนุมาตราใด เพราะไม่มีกฎหมายบังคับว่าคำฟ้องของโจทก์จะต้องระบุบทกฎหมายตลอดจนมาตราและอนุมาตราไว้ด้วย นอกจากนี้ โจทก์ก็ได้ระบุข้อเท็จจริงไว้แล้วว่ารายจ่ายทั้ง 5 รายการนั้นเป็นรายจ่ายต้องห้ามเพราะไม่มีหลักฐานการจ่ายพอที่จำเลยที่ 2 จะเข้าใจได้แล้วว่า เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(18) คือเป็นรายจ่ายที่ผู้จ่ายพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในข้อสุดท้ายว่า การที่จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์การประเมินจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่ต้องห้ามโต้แย้งการประเมิน แต่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นหุ้นส่วนที่ออกจากหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ไปแล้ว และไม่ได้รับแจ้งการประเมินแต่อย่างใด การประเมินของโจทก์จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2ได้ให้การต่อสู้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบเพราะนำข้อมูลอันเป็นเท็จมาปรับปรุงยอดเงินได้ของจำเลยที่ 1 แต่ศาลภาษีอากรกลางมิได้วินิจฉัยตามประเด็นที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ กลับวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งว่าการประเมินดังกล่าวไม่ชอบ ดังนี้จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มีสิทธิโต้แย้งว่าการประเมินไม่ชอบได้หรือไม่ ประมวลรัษฎากร มาตรา 21 บัญญัติว่าถ้าผู้ต้องเสียภาษีอากรไม่ปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 19 หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีอากรตามที่รู้เห็นว่าถูกต้องและแจ้งจำนวนเงินซึ่งต้องชำระไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากร ในกรณีนี้ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ผู้ต้องเสียภาษีเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินและผูกพันจำเลยที่ 1 ให้มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีตามการประเมิน จะนำหนี้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมาใช้ยันแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มิได้ถูกประเมินหาได้ไม่ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2จึงต่อสู้ได้ว่า การประเมินไม่ชอบเพราะเจ้าพนักงานประเมินนำข้อมูลอันเป็นเท็จมาใช้ในการประเมิน ซึ่งศาลจำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ในข้อนี้ฟังขึ้นแต่ศาลภาษีอากรกลางยังมิได้วินิจฉัยตามประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยอีก เพราะคู่ความได้สืบพยานมาครบถ้วนแล้ว
ปัญหาที่ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบหรือไม่นั้นเห็นว่า โจทก์มีนางสาวอรวรรณ จามรสินชัย ผู้ตรวจสอบภาษีรายของจำเลยที่ 1 และนายสมมาตร สังขะทรัพย์ สรรพากรเขตพื้นที่ 5เบิกความเป็นพยานและมีเอกสารหมาย จ.1 ส่งอ้างประกอบข้อนำสืบฟังข้อเท็จจริงได้ว่า เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยที่ 1 แสดงรายการตามแบบที่ยื่นไว้ไม่ถูกต้องตามความจริงจึงได้หมายเรียกจำเลยที่ 1 ให้มาพบเพื่อทำการไต่สวน และให้นำบัญชีพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีมามอบเพื่อตรวจสอบแต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามหมายและคำสั่ง เจ้าพนักงานประเมินจึงได้อาศัยข้อมูลตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 42 ของบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่จำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันชนิดต่าง ๆจากบริษัทดังกล่าว ประกอบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 94, 95, 100 งบกำไรขาดทุนตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 98 แบบแสดงรายการการค้าตามเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 35 ถึง 37 บันทึกราคาสินค้าขายส่งตามเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 44 ถึง 48 มาเปรียบเทียบคำนวณหายอดเงินได้ของจำเลยที่ 1แล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มียอดเงินได้สูงกว่าที่จำเลยที่ 1แสดงไว้ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลของปี พ.ศ. 2528เป็นเงิน 233,505.81 บาท กับยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ค่ารับจ้างล้างอัดฉีดรถยนต์ไว้ต่ำกว่ายอดเงินได้ที่แสดงไว้ในแนบแสดงรายการการค้า 3,000 บาท และเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักฐานมาแสดงว่าได้จ่ายค่าไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย ค่าซ่อมแซมต่าง ๆค่าใช้จ่ายบริการลูกค้า ค่าโทรศัพท์ รวมเป็นเงิน 97,750.96 บาท(เฉพาะค่าไฟฟ้าคงตัดออกเพียงครึ่งเดียว) ถือได้ว่าเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(18) จึงได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาปรับปรุงคำนวณหากำไรสุทธิของจำเลยที่ 1 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2528 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2529ใหม่ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มียอดเงินกำไรสุทธิ 40,107.60 บาทจะต้องเสียภาษีเป็นเงิน 16,043.04 บาท เบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 เป็นเงิน16,043.04 บาท เจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือแจ้งการประเมินและแจ้งผลการเปลี่ยนแปลงผลการขาดทุนสุทธิให้จำเลยที่ 1 ทราบแล้วแต่จำเลยที่ 1 มิได้ชำระภาษีและเบี้ยปรับดังกล่าวภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2531 อันเป็นวันที่ได้รับแจ้งการประเมินจำเลยที่ 1 จึงต้องเสียเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 27อีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน ของเงินค่าภาษีที่ต้องเสียจำเลยที่ 2 ไม่มีพยานมานำสืบหักล้างว่าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 35 ถึง 37, 42, 44 ถึง 48, 98, 100 ที่โจทก์ใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงหากำไรสุทธิของจำเลยที่ 1 นั้น ไม่ถูกต้องหรือเป็นเท็จด้วยเหตุใด จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานตนเองเพียงว่าเหตุที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เพราะได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบด้วยข้อเท็จจริงและมีอำนาจที่จะประเมินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 21 การประเมินจึงชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2ผู้เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดในหนี้ค่าภาษีของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวที่เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 ออกจากหุ้นส่วนไปยังไม่เกินสองปี ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลแต่ไม่เห็นด้วยที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงินเพิ่มแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 27 วรรคสามบัญญัติว่า …เงินเพิ่มที่คำนวณได้มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางจึงเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองและหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินค่าภาษี37,861.57 บาท พร้อมทั้งเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษี 16,043.04 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้มิให้เกิน 10,267.55 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง.

Share