คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2303/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่จำต้องระบุบุคคลที่ต้องถูกฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นจำเลยหรือผู้ใด แม้หนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับคดีไม่ได้ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยทั้งสอง แต่ก็มีข้อความไว้แล้วว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีแพ่งแทนและในนามของโจทก์ได้ ส. จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทสิบเอ็ด ฉบับลงวันที่ล่วงหน้ามอบให้โจทก์เพื่อชำระราคาค่ารถขุดดินที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อจากโจทก์สำหรับงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินก่อนโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ เช็คดังกล่าวถือว่าเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์สำหรับเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์เมื่อก่อนมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันและตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันไว้ว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่ก่อนสัญญาเลิกกันให้โจทก์ จำเลยที่ 1ผู้เช่าซื้อในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทซึ่งมีมูลหนี้มาจากค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระให้โจทก์ตามข้อสัญญา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายสุทธิพันธุ์ บุญลาภ เป็นผู้ฟ้องคดีแทน จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญจำเลยที่ 1 กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาน่าน จำนวนสิบเอ็ดฉบับสั่งจ่ายเงินฉบับละ 102,083 บาท ลงวันที่สั่งจ่ายฉบับละเดือนทุกวันที่ 24 ของเดือนเรียงลำดับไปนับแต่วันที่ 24 กันยายน 2527เป็นต้นไป เช็คดังกล่าวมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 นำมาชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์แก่โจทก์ เมื่อเช็คทั้งสิบเอ็ดฉบับถึงกำหนดเรียกเก็บเงิน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 1,170,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,222,913 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีกระทำโดยมิชอบเพราะการมอบอำนาจหาได้ระบุให้ฟ้องจำเลยแต่ประการใด จำเลยที่ 2ในฐานะส่วนตัวเช่าซื้อรถดันตีนตะขาบและรถขุดรวม 2 คัน ไปจากโจทก์รวม 5,250,000 บาท ชำระราคาล่วงหน้า 800,000 บาท แต่ในวันตกลงเช่าซื้อนั้น เงินวางดาวน์ไม่พอ จำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาน่านให้โจทก์ไว้ 2 ฉบับ ส่วนเงินค่าผ่อนชำระเช่าซื้อรถทั้งสองคันได้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนทุกเดือนไป โดยจำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาน่าน ลงวันที่ล่วงหน้าให้โจทก์ยึดถือไว้เพื่อไปขึ้นเงิน จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ตามเช็คแล้ว 2,300,000 บาท แต่ภายหลังจำเลยไม่สามารถผ่อนชำระตามกำหนดได้ โจทก์จึงยึดรถทั้งสองคันไป จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อที่ยังคงค้างชำระตามเช็คให้แก่โจทก์อีก โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,170,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน1,122,913 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองคือ ประเด็นแรก โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาในประเด็นนี้ความว่า หนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.4 ไม่ได้ระบุว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องผู้ใดหรือฟ้องจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น ในเบื้องต้นเห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างไม่ได้วินิจฉัยไว้ในประเด็นนี้แต่จำเลยได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้น และในคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในชั้นอุทธรณ์ ก็ได้ให้การกล่าวแก้ไว้ถึงประเด็นข้อนี้ต้องถือว่าประเด็นนี้ไม่ยุติไปในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นนี้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปยังศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยก่อน และศาลำีกาเห็นว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่จำต้องระบุบุคคลที่ต้องถูกฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นจำเลยหรือผู้ใดดังนั้นแม้หนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.4 ไม่ได้ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยทั้งสอง แต่ก็มีข้อความระบุไว้แล้วว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายสุทธิพันธุ์ บุญลาภ ฟ้องคดีแพ่งแทนและในนามของโจทก์ได้ จึงเห็นว่านายสุทธิพันธุ์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่สอง จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาททั้งสิบเอ็ดฉบับพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ดังฟ้องหรือไม่ เนื่องจากเช็คพิพาททั้งสิบเอ็ดฉบับเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายลงวันที่ล่วงหน้ามอบให้โจทก์เพื่อชำระราคารถขุดดินที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อจากโจทก์สำหรับงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินก่อนโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อดังวินิจฉัยแล้วข้างต้นศาลฎีกาจึงเห็นว่าเช็คพิพาททั้งสิบเอ็ดฉบับดังกล่าวต้องถือว่าเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์สำหรับเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์เมื่อก่อนมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน และโดยเหตุที่ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 13 ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันไว้ความว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่ก่อนสัญญาเลิกกันให้โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อ จึงเห็นว่าจำเลยที่ 1ผู้เช่าซื้อในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสิบเอ็ดฉบับ และจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาททั้งสิบเอ็ดฉบับ ซึ่งมีลูกหนี้มาจากค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระให้โจทก์ตามข้อสัญญาดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ดังฟ้อง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในประเด็นนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน.

Share