คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาซื้อสินค้าจากโจทก์โดยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ไว้แม้ว่าต่อมาจำเลยจะได้เช็คดังกล่าวคืนมาจากโจทก์ ก็มิใช่หลักฐานที่แสดงว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คนั้นแล้ว เป็นแต่เพียงจำเลย ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับ ไปแล้วเท่านั้น เมื่อคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ในประเด็นดังกล่าว ศาลจึงต้องรับฟังพยานหลักฐานของคู่ความต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซื้อสิทธิการนำภาพยนตร์จากโจทก์เพื่อนำไปฉายแต่จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ไม่ครบ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 369,687.50 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 369,687.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 350,000 บาท นับถับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าเมื่อจำเลยทั้งสองมีเช็คทั้งสี่ฉบับตามเอกสารหมาย ล.1 มาแสดงก็ชอบที่ศาลจะรับฟังว่าหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยได้ระงับสิ้นไป โดยมีการชำระหนี้แล้ว ฝ่ายโจทก์จึงกินเช็คนั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองได้รับเช็คทั้ง 4 ฉบับ คืนมาจากโจทก์มิใช่เป็นหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ตามเช็คนั้นแล้ว จำเลยทั้งสองเพียงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้วเท่านั้น เมื่อโจทก์จำเลยยังคงโต้แย้งเถียงกันอยู่ในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบต่อไป ฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share