คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับอัตราอากรที่ได้เสียเกิน ย่อมสิ้นไปเมื่อครบกำหนด 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า ตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2468 มาตรา 10 วรรคห้าแต่การที่หัวหน้าฝ่ายกลาง กองพิธีการและประเมินอากร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามที่จำเลยมอบหมายมีหนังสือถึงโจทก์หลังจากครบกำหนดอายุความเรียกร้องขอคืนเงินอากรว่าโจทก์เสียอากรไว้เกินให้ไปติดต่อขอรับเงินที่ชำระไว้เกินคืน ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความอันครบบริบูรณ์แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 จำเลยจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำ Catalyst เข้ามาในราชอาณาจักรจำเลยจัดสินค้าดังกล่าวอยู่ในพิกัดประเภทที่ 69.14 ทำให้โจทก์ต้องเสียอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 80 ของราคาของ ซึ่งไม่ถูกต้องที่ถูกจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 84.18 อัตราอากรร้อยละ 20 หรือพิกัดประเภทที่ 69.09 อัตราอากรร้อยละ 35 ต่อมาหัวหน้าฝ่ายกลางกองพิธีการและประเมินอากรได้มีหนังสือถึงโจทก์ แจ้งว่าสินค้าที่นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 69.09 อัตราอาการร้อยละ 35ให้โจทก์ติดต่อขอคืนเงินที่ชำระเกินคืน โจทก์ไปติดต่อแล้วจำเลยแจ้งว่า โจทก์ขอคืนเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี จึงหมดสิทธิ ไม่ยอมคืนเงินอากรให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล รวมเป็นเงิน 261, 239.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ว้นฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องขอคืนเงินค่าอากรพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันนำของเข้ามาในราชอาณาจักร สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเป็นอันสิ้นไป จำเลยไม่เคยสละสิทธิแห่งอายุความขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่าโจทก์นำของเข้าเมื่อวันที่ 14กรกฎาคม 2528 แต่มิได้ใช้สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับอัตราอากรที่ได้เสียไว้เกินภายใน 2 ปีนับจากวันที่นำของเข้า สิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นอันสิ้นไปตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้าบัญญัติไว้ แต่จำเลยโดยนายเสถียรหัวหน้าฝ่ายกลางกองพิธีการและประเมินอากร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามที่จำเลยมอบหมายได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 9 ถึงโจทก์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม2530 หลังครบกำหนดอายุความเรียกร้องขอคืนเงินอากรดังกล่าวแล้วว่า จำเลยได้พิจารณาสินค้าที่โจทก์นำเข้าและเสียอากรไว้ตามพิกัดประเภทที่ 69.14 อัตราอากรร้อยละ 80 หรือกิโลกรัมละ 10บาทนั้นแล้ว เห็นว่าสินค้าของโจทก์จัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 69.09อัตราอากรร้อยละ 35 ดังนั้นภาษีอากรที่โจทก์ชำระไว้จึงเกินให้โจทก์ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลางกองพิธีการและประเมินอากรเพื่อจัดทำใบขนให้ถูกต้อง และขอคืนเงินที่ชำระไว้เกินที่กองคืนอากรและส่งเสริมการส่งออกต่อไป เป็นการที่จำเลยยอมรับว่าโจทก์ชำระค่าภาษีอากรไว้เกินและให้โจทก์ไปขอรับเงินคืนจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยถือได้ว่าจำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความอันครบสมบูรณ์แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 19 จำเลยจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินภาษีอากรที่ชำระไว้เกินรวม 261,239.78 บาท คืนจากจำเลยได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 9 เป็นเพียงหนังสือแจ้งแนวทางปฏิบัติงานโดยปกติของจำเลยเพื่อให้โจทก์ทราบว่าจำเลยได้วินิจฉัยเกี่ยวกับพิกัดแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้สละประโยชน์แห่งอายุความนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ 261,239.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ.

Share