แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ช่วยผู้จัดการห้าง ท. ได้รับมอบรถยนต์จากห้างไว้ใช้ โดยโจทก์มีหน้าที่ดูแล รับผิดชอบตลอดจนการซ่อมแซม โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในฐานะที่จะเอาประกันภัยได้ ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอเพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ยังไม่แน่นอนและเกินความเป็นจริง หาได้อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอเพราะเหตุโจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเงินค่าซ่อมแก่โจทก์ดัง ที่อ้างในชั้นฎีกาไม่ ดังนั้นฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน7ง-8913 กรุงเทพมหานคร และได้เอาประกันภัยรถดังกล่าวไว้กับจำเลยเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2528 นายเพิ่มศักดิ์ ธีรศักดิ์ ขับขี่รถคันดังกล่าวไปตามถนนสายอ่อนนุช-หัวตะเข้ มีรถยนต์บรรทุกสิบล้อไม่ทราบหมายเลขทะเบียนแซงรถยนต์คันที่อยู่ข้างหน้าสวนทางมาด้วยความเร็วสูงนายเพิ่มศักดิ์ได้หลักหลบทำให้รถพลัดตกลงไปข้างถนน รถได้รับความเสียหาย และทำให้ต้นไม้ประดับของเขตลาดกระบังที่ปลูกไว้เสียหายจำเลย ไม่ยอมจ่ายค่าซ่อมรถโจทก์จำนวน 103,899 บาท ให้แก่เจ้าของอู่ที่นำไปซ่อมไว้ และไม่ยอมชำระเงินค่าต้นไม้ประดับที่โจทก์ชำระแทนไปเป็นการผิดสัญญาประกันภัย ขอให้จำเลยชำระค่าซ่อมรถจำนวน 103,899 บาทให้แก่เจ้าของอู่รวมกิจการช่าง และสั่งให้เจ้าของอู่ดังกล่าวมอบรถให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่โจทก์ใช้แทนไปจำนวน2,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์เช่ารถบุคคลภายนอกมาใช้จำนวน 31,500 บาท และต่อไปวันละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะสั่งเจ้าของอู่รวมกิจการช่างส่งมอบรถให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์มิได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างใดในรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7 ง-8913กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าซ่อมจำนวน 103,899 บาท ให้แก่เจ้าของอู่รวมกิจการช่าง หรือสั่งให้อู่รวมกิจการช่างมอบรถพิพาทให้แก่โจทก์ได้เพราะเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าของอู่ดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากไม่สามารถนำรถมาใช้ตามฟ้องได้ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ละเลยไม่ชำระเงินค่าซ่อมและ่นำรถออกมาใช้เอง เหตุเกิดขึ้นจากความประมาทของนายเพิ่มศักดิ์ผู้่ขับขี่และโจทก์ทราบแล้ว ประกอบกับขณะเกิดเหตุนายเพิ่มศักดิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ขับขี่รถพิพาทได้ตามกฎหมายจึงเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นหากมีจริงไม่เกิน2,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 105,899 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 2,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ ซึ่งจำเลบมิได้นำสืบหักล้างว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดท.ธนารัฐ 1971 โจทก์เป็นผู้ช่วยผู้จัดการของห้างนี้ ทางห้างจึงมอบรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ใช้โดยให้โจทก์มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบตลอดจนทำการซ่อมแซมด้วย จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นได้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ท.ธนารัฐ 1971 ได้มอบรถยนต์ดังกล่าว ให้โจทก์ใช้สอยและรับผิดชอบ หากรถยนต์คันดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องซ่อมแซมดังนั้นโจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ ดังนี้ โจทก์จึงอยู่ในฐานะที่จะเอาประกันภัยรถยนต์คันนี้ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขี้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยข้อที่สองมีว่าการที่นายเพิ่มศักดิ์มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ทุกประเภทของกรมการขนส่งทางบก แต่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมายล.2 ข้อ 2.13.6 และ ข้อ 3.9.2 หรือไม่ เห็นว่า ข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ระบุไว้ในข้อ 2.13.6 และ ข้อ 3.9.2 ซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกันว่า “การขับขี่โดยบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า 180 วัน หรือหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถยนต์ในเวลาเกิดอุบัติเหตุ” ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายเพื่มศักดิ์ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ทุกประเภทจากกรมการขนส่งทางบก ตามเอกสารหมาย ล.4 ดังน นนายเพิ่มศักดิ์จึงมิใช่เป็นบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้จำเลยได้รับยกเว้นความรับผิดไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า รถยนต์คันเกิดเหตุจดทะเบียนไว้ต่อกรมตำรวจ ผู้ขับขี่จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจจึงจะได้รับความคุ้มครองนั้น เห็นว่าตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวข้างต้นหาได้ระบุไว้เช่นนั้นไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อที่สามว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินค่าซ่อมรถยนต์แก่โจทก์นั้น เป็นการพิจารณาเกินคำขอเพราะโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเงินส่วนนี้ให้แก่โจทก์พิเคราะห์แล้วจำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาเกินคำขอว่า “ส่วนค่าเสียหาย ซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้ขับขี่รถฝ่ายโจทก์ในครั้งนี้ก็เห็นมีแต่ค่าต้นไม้ที่โจทก์จ่ายไปแล้ว จำนวน2,000 บาท ส่วนค่าซ่อมรถคันพิพาทโจทก์รับว่ายังมิได้จ่ายให้แก่อู่ไปยอดที่แท้จริงจะเป็นเท่าไรก็ยังรับฟังไม่ได้เป็นยุติ เพราะยังมีการเจรจาต่อรองค่าซ่อมกัน ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยต้องชำระเงินค่าซ่อมจำนวน 103,899 บาท ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอของโจทก์ที่ระบุมาในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยขอยืนยันว่าค่าซ่อมรถยนต์คันพิพาทนี้ไม่ถึง 103,899 บาท “ซึ่งเห็นได้ว่า ที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอก็เพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ยังไม่แน่นอนและเกินกว่าความเป็นจริง หาได้อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอเพราะเหตุโจทก์มิได้ฟ้อง ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่าซ่อมแก่โจทก์ดังที่โจทก์อ้างในชั้นฎีกาไม่ ดังนั้นฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แม้ปัญหานี้จะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย…”
พิพากษายืน.