คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1899/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากโจทก์ถอนทนายเดิมแล้ว 20 วัน ได้มีการยื่นใบแต่งทนายใหม่ในวันนัดสืบพยานโจทก์. วันที่ยื่นใบแต่งทนายเป็นแต่เพียงการแสดงต่อศาลว่าขอแต่งตั้งทนายให้เป็นผู้ว่าความ. มิได้หมายความว่า.โจทก์เพิ่งไปหาทนายในเช้าวันนัด. อันจะถือว่าโจทก์ไม่นำพาต่อคดีของตน.
เมื่อโจทก์หาทนายได้แล้ว แต่บังเอิญทนายติดว่าความในคดีอื่นซึ่งนัดไว้ก่อน. ย่อมเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้. กรณีที่ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเป็นครั้งแรก แม้โจทก์จะยังมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้.แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุที่จะแสดงว่าโจทก์แกล้งประวิงคดี. และประกอบกับเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ย่อมมีเหตุสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้เลื่อนคดีไปได้.
โจทก์ตั้งทนายโดยทำเป็นหนังสือลงลายมือโจทก์และทนายโจทก์แล้วยื่นต่อศาล. โดยให้ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ให้มายื่นคำร้องขอเลื่อนคดียื่นใบแต่งทนายพร้อมคำร้องนั้น. และศาลได้สั่งใบแต่งทนายรวมไว้ในสำนวนแล้ว. ย่อมถือได้ว่าทนายซึ่งโจทก์ตั้ง เป็นทนายของโจทก์แล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของร่วมโดยเป็นมรดกของนางบวบ ซึ่งโจทก์จำเลยครอบครองร่วมกันมา จำเลยที่ 1, 2, 3 ต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของนางบวบ นางบวบแบ่งยกให้เป็นส่วนสัด จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ วันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์และทนายไม่มาศาล มีนายชลอ บุญภู ผู้รับมอบอำนาจจากทนายโจทก์ นำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นต่อศาลโดยอ้างว่า ทนายโจทก์เพิ่งได้รับการแต่งตั้งติดการสืบพยานในคดีเรื่องหนึ่งซึ่งนัดไว้ก่อน ประกอบกับโจทก์ไม่ได้นำสำนวนไปมอบให้ เนื่องจากทนายโจทก์คนเดิมไม่ยอมคืนสำนวนให้โจทก์ ทนายโจทก์จึงยังไม่ทราบว่าคดีดำเนินไปประการใด ทนายจำเลยแถลงค้านว่า ศาลไม่ควรอนุญาตให้เลื่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ทนายโจทก์ทราบเหตุขัดข้องของตัวเองก่อนรับเป็นทนาย และตัวโจทก์ทราบนัดของศาล มีเวลาหาทนายถึง 20 วันการที่เพิ่งไปหาทนายในตอนเช้าของวันนัด เป็นที่เห็นได้ชัดว่าโจทก์ไม่นำพาต่อคดีของโจทก์ ประกอบกับโจทก์ก็ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานพยานไม่มีมาศาล เหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้เลื่อน และถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ทั้งไม่จำต้องสืบพยานจำเลย จึงให้งดสืบพยานจำเลยด้วยแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุที่ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ ทั้งศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา การที่ด่วนพิพากษายกฟ้อง โดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201, 202, 203 และ 205 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ทนายโจทก์เลื่อนคดี และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ จำเลยที่ 1, 2, 3 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีที่โจทก์ถอนทนายเดิมตั้งแต่วันชี้สองสถาน แล้วยื่นใบแต่งทนายใหม่ในวันนัดสืบพยานโจทก์หลังจากวันที่ถอนทนายเดิม 20 วัน วันที่ยื่นใบแต่งทนายเป็นแต่เพียงการแสดงต่อศาลว่าขอแต่งตั้งให้ทนายเป็นผู้ว่าความ มิได้หมายความว่าโจทก์เพิ่งไปหาทนายในเช้าวันนัด อันจะถือได้ว่าโจทก์ไม่นำพาต่อคดีของตน เมื่อโจทก์หาทนายได้แล้ว แต่บังเอิญทนายติดว่าความในคดีอื่นซึ่งนัดไว้ก่อน จึงไม่สามารถว่าความให้โจทก์ในวันนั้นได้ย่อมเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ ทั้งเป็นการขอเลื่อนคดีครั้งแรก แม้ยังมิได้มีการยื่นบัญชีระบุพยานแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีก็ไม่มีเหตุที่จะแสดงว่าโจทก์แกล้งประวิงคดีและประกอบกับเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์มีเหตุสมควรอนุญาตให้เลื่อนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การยื่นใบแต่งทนายต่อศาล ไม่ได้กระทำโดยตัวความหรือทนายความ เพราะฉะนั้นจึงถือว่า นายสมนึก สุขเขียวเป็นทนายโจทก์ไม่ได้ และถือไม่ได้ว่าเป็นคำร้องขอเลื่อนคดีของโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การตั้งทนายความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 กำหนดว่า ต้องทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อตัวความและทนายความ แล้วยื่นต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนโดยเฉพาะคดีนี้ การตั้งทนายโจทก์ได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อตัวโจทก์และทนายโจทก์ แล้วยื่นต่อศาลโดยให้ผู้รับมอบฉันทะที่มายื่นคำร้องขอเลื่อนคดียื่นใบแต่งทนายพร้อมคำร้องนั้น และศาลได้สั่งใบแต่งทนายรวมไว้ในสำนวนแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่านายสมนึกสุขเขียว เป็นทนายโจทก์แล้ว ฉะนั้นคำร้องขอเลื่อนคดีจึงเป็นคำร้องของทนายโจทก์ ปัญหาที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์เลื่อนคดีเพื่อระบุพยาน และการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ จะเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201, 202, 203และ 205 หรือไม่นั้น ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะศาลฎีกาเห็นสมควรให้โจทก์เลื่อนคดีได้แล้ว พิพากษายืน.

Share