คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางแพ่งหรือทางอาญาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย.
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการติดต่อระหว่างผู้เสียหายเป็นการซื้อเชื่อชนิดพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อธรรมดา และทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์. โจทก์ร่วมอุทธรณ์รับในข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าไม่เป็นการซื้อเชื่อ. และจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์. ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายชอุ่ม ทศสิน ได้ร่วมกันครอบครองเครื่องเพชร เครื่องทองรูปพรรณของผู้เสียหาย แล้วได้ร่วมกันเอาทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดที่ครอบครองไว้เป็นของตนหรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 85 และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ด้วย นายไพรัชผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจทก์ร่วม จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยไม่ใช่ลูกจ้างของนายไพรัช และไม่ได้ครอบครองแทนนายไพรัช แต่จำเลยครอบครองอย่างเจ้าของ เท่ากับจำเลยซื้อเชื่อจากนายไพรัชนั่นเองกรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยนับแต่เวลาที่นายไพรัชมอบของให้ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระหนี้เป็นเงินสดตามราคาที่กำหนดกันไว้ หรือชำระโดยเอาของคืนให้ ซึ่งเป็นข้อตกลงพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อทั่ว ๆ ไป จำเลยจึงผูกพันรับผิดชอบในทางแพ่งเท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกดังฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติขัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 จึงไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำ เป็นความผิดฐานยักยอกหรือไม่ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า แม้อุทธรณ์โจทก์ร่วมจะอ้างอิงเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ยังต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์ร่วมโต้เถียงมาในอุทธรณ์ ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั่นเองจึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิเคราะห์วิธีปฏิบัติในการที่จำเลยรับของไปขาย แล้วมีความเห็นรวมความว่า การรับเอาของไปขายในลักษณะนี้เท่ากับจำเลยซื้อเชื่อจากโจทก์ร่วม กรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยนับแต่เวลารับมอบของ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ด้วยเงินสดตามราคาของที่กำหนด (ถ้าขายของได้) หรือชำระโดยคืนของให้(ถ้าขายไม่ได้) อันเป็นข้อตกลงพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อทั่ว ๆ ไปจำเลยจึงรับผิดในทางแพ่งเท่านั้น ไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกนั้นเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีความเห็นในข้อกฎหมายในทางแพ่งว่าเป็นการซื้อเชื่อชนิดพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อธรรมดา และทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ โดยมีหน้าที่ชำระราคาของที่ขายได้ตามราคาที่กำหนดกันไว้ ถ้าขายไม่ได้ก็มีสิทธิเอาของมาคืนให้โจทก์ร่วมได้ จึงไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอก ซึ่งโจทก์ร่วมอุทธรณ์โต้แย้งรวมความว่าไม่เป็นการซื้อเชื่อและจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ร่วมมีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งได้ ไม่ใช่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริง และที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์โต้แย้งว่า การกระทำของจำเลย (คือการรับมอบของเอาไปขายโดยกำหนดราคากันไว้ ถ้าจำเลยขายได้เกินราคาก็เป็นกำไรของจำเลย ถ้าขายไม่ได้ก็ต้องเอาของมาคืนนั้น) เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมตามฟ้องได้ นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโจทก์ร่วมมีสิทธิอุทธรณ์ได้ พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกฎหมาย.

Share