แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเสมียนตราจังหวัดมีหน้าที่รับจ่ายและเก็บรักษาเงินของราชการส่วนจังหวัดและราชการส่วนอื่นๆ. โดยเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินที่ตนรับไว้ในตำแหน่งหน้าที่เป็นประโยชน์ส่วนตน ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147. ไม่ใช่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151.และเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 147 แล้ว. ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อีก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยในตำแหน่งข้าราชการเสมียนตราจังหวัดสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่รับจ่าย เก็บรักษาเงินของที่ทำการปกครองจังหวัดและเงินของทางราชการ ซึ่งมิได้อยู่ในหน้าที่ของแผนกใดรวมทั้งเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เบียดบังยักยอกเงินในหน้าที่ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต รวม 5 รายการ อันเป็นเงินค่าณาปนกิจ เงินยืมทดรองราชการ เงินแผนกคลังจังหวัด และเงินค่าเช่าอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งสิ้น 15,760.80 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,151, 157, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2502 มาตรา 3, 7, 13 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทุจริตยักยอกเงินรายการข้อ (ข) ตามฟ้องรายการเดียวไปเป็นเงิน 5,000 บาท โดยรับเงินยืมทดรองส่งคืนจำนวน 6,821 บาท แต่ลงรับไว้เพียง 1,821 บาท รายการอื่น ๆ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกไป พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2502 มาตรา 7 ให้จำคุกไว้มีกำหนด 5 ปี คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เงินอีก 3 รายการที่โจทก์ติดใจอุทธรณ์ขึ้นมาจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกไปด้วย และวินิจฉัยความผิดตามบทมาตรา 147และ 157 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3 และ 13 ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีกด้วยว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาเงินราชการแล้วเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินในอำนาจหน้าที่ของตนไปเป็นของตน กรณีต้องด้วยความผิดตามมาตรา 147 และเมื่อกรณีต้องด้วยมาตรา 147 แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 และกรณีไม่ต้องด้วยความผิดตามมาตรา 151 ดังที่ศาลชั้นต้นปรับบทพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทุจริตยักยอกเงิน 3 รายการตามที่โจทก์อุทธรณ์ด้วย ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3 คงให้วางโทษจำคุกจำเลยไว้5 ปี ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาฝ่ายเดียวว่าการกระทำของจำเลยยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 7 และ 13 ตามลำดับด้วย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะมาตรา 147เป็นเรื่องเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ หรืออีกนัยหนึ่งเอาตัวทรัพย์นั้นไปเป็นประโยชน์ซึ่งตรงกับกรณีของจำเลยในคดีนี้ส่วนความผิดตามมาตรา 151 เป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดมิได้เอาทรัพย์ในอำนาจหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์หรือเอาตัวทรัพย์นั้นเสียหากแต่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ตนมีเกี่ยวกับทรัพย์อันใดอันหนึ่ง หาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเอาทรัพย์นั้น ซึ่งกรณีของจำเลยไม่ต้องด้วยความผิดตามบทมาตรานี้ และเมื่อจำเลยมีความผิดตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งถือเป็นบททั่วไปอีกด้วย ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1184/2505 พิพากษายืน.