คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามให้การร่วมกันว่า ที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้จำเลยที่ 2,3 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดข้อบังคับของห้างหุ้นส่วน. เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ถอนเอาที่ดินคืนออกจากห้างหุ้นส่วนเลย. โจทก์ก็ทราบแล้วและไม่คัดค้าน. ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยทั้ง 3 เป็นการยอมรับว่าที่ดินนั้นยังคงเป็นของห้างหุ้นส่วนอยู่. แม้จะมีชื่อจำเลยที่ 2,3 ถือกรรมสิทธิ์.จำเลยก็หาได้โต้แย้งไม่ว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยไม่ใช่ของห้างหุ้นส่วน. จำเลยจะมาโต้เถียงภายหลังว่าที่ดินไม่ใช่ของห้างหุ้นส่วนย่อมไม่ได้.
ที่ดินเป็นของห้างหุ้นส่วน เมื่อเลิกห้างหุ้นส่วนและมีการชำระบัญชีกัน. ผู้ชำระบัญชีก็มีอำนาจที่จะขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนเอาเงินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้.
จำเลยให้การรับว่า ที่ดินยังเป็นของห้างหุ้นส่วนอยู่.เมื่อคู่ความตกลงกันให้ตั้งผู้ชำระบัญชี. และให้ขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมดเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน.ดังนี้ แสดงว่าจำเลยตกลงยอมให้ขายที่ดินซึ่งเป็นของห้างหุ้นส่วนด้วย. จำเลยจะมาอ้างภายหลังว่าขณะนั้นยังไม่ทราบว่าผู้ชำระบัญชีจะเอาที่ดินเป็นของห้างหุ้นส่วนด้วยหรือไม่. ย่อมฟังไม่ขึ้น.และเมื่อจำเลยตกลงยอมให้ขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมดแล้ว. ก็ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธิที่จะถอนหุ้นเอาที่ดินของตนคืน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 กับผู้มีชื่อรวม 14 คน เข้าหุ้นส่วนสามัญก่อสร้างโรงสีไฟ จำเลยที่ 1 เอากรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4052 และ 4053 เข้าลงหุ้นตีราคา 5,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1ลอบจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 2 โฉนดให้จำเลยที่ 2, 3 ซึ่งเป็นบุตร ขอให้เพิกถอนการโอน ฯลฯ จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดข้อบังคับของห้างหุ้นส่วน ไม่ได้ถอนเอาที่ดินคืนออกจากหุ้นส่วนขอให้ยกฟ้องและมีคำสั่งให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกัน และจัดการชำระบัญชี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกันตามฟ้องแย้งจำเลย ให้จัดการชำระบัญชี คดีถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้นโดยมิได้มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ชำระบัญชี โดยจัดการขายทรัพย์สินของห้างเพื่อนำเงินมาแบ่งและเฉลี่ยกำไรขาดทุนกัน ผู้ชำระบัญชีเรียกโจทก์จำเลยมาประมูลระหว่างกัน แต่ไม่เป็นที่ตกลงจึงขออนุญาตศาลขายทอดตลาดจำเลยยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 4052, 4053 มีชื่อจำเลยที่ 2, 3ถือกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่ทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วน ขอให้งดการขายศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดิน 2 แปลงมีชื่อจำเลยที่ 2, 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต้องถือว่าจำเลยที่ 2, 3 เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของห้างหุ้นส่วน ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อโรงสีไฟของห้างหุ้นส่วนเลิกกิจการจะขายทรัพย์สินของห้าง จำเลยไม่ประสงค์จะขายที่ดิน 2 แปลงนี้ก็ย่อมมีสิทธิขอถอนหุ้นเอาที่ดินของตนคืนได้ตามสัญญาเข้าหุ้นส่วนข้อ 11จะขายที่ดิน 2 แปลงนี้ไม่ได้พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้งดการขายทอดตลาด โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสามยื่นคำให้การและฟ้องแย้งนั้น จำเลยทั้งสามให้การร่วมกันว่า ที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้จำเลยที่ 2, 3 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดข้อบังคับของหุ้นส่วนเพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ถอนเอาที่ดินคืนออกจากหุ้นส่วนเลย โจทก์ก็ทราบแล้วและไม่คัดค้าน ตามคำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการยอมรับว่าที่ดินนั้นยังคงเป็นของหุ้นส่วนอยู่ แม้จะมีชื่อจำเลยที่ 2, 3 ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยก็หาได้โต้เถียงว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยไม่ใช่ของหุ้นส่วน ฉะนั้น จำเลยจะมาโต้เถียงในภายหลังว่าที่ดินนั้นไม่ใช่ของหุ้นส่วนจึงฟังไม่ขึ้น เมื่อที่ดินทั้ง 2 แปลงเป็นของห้างหุ้นส่วนแล้ว เมื่อเลิกห้างหุ้นส่วนและมีการชำระบัญชีกัน ผู้ชำระบัญชีก็มีอำนาจที่จะขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนเอาเงินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ เมื่อคู่ความตกลงกันให้ตั้งผู้ชำระบัญชีและให้ขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมดเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน และจำเลยให้การรับว่าที่ดิน 2 แปลงยังเป็นของหุ้นส่วนอยู่ ดังนี้ แสดงว่าจำเลยตกลงยอมให้ขายที่ดินทั้ง 2 แปลง ซึ่งเป็นของห้างหุ้นส่วนนี้ด้วย จำเลยจะอ้างภายหลังว่าขณะนั้นยังไม่ทราบว่าผู้ชำระบัญชีจะเอาที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้เป็นของห้างหุ้นส่วนด้วยหรือไม่ ย่อมฟังไม่ขึ้น และเมื่อจำเลยตกลงยอมให้ขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมดแล้ว ก็ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธิที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 11 ที่ว่า จำเลยมีสิทธิขอถอนหุ้นเอาที่ดินของตนคืนได้ พิพากษากลับ เป็นให้บังคับคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น.

Share