คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าคนภายนอกคดีจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้. จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อน. ถ้าคนภายนอกร่วมกระทำกับลูกหนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 350 ก็เป็นตัวการมีความผิดตามมาตรานี้ได้.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย. แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริง.ที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป. และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติ. เมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219. โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินและคืนที่นาบางส่วนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกนางสาวใครในคดีนั้น จำเลยที่ 1ทราบคำพิพากษาแล้ว และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ได้ทำการทุจริต โดยจำเลยที่ 1 โดยโอนขายที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานทำการโอนให้ ณ หอทะเบียนที่ดินโดยเจตนามิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ขอให้ลงโทษซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วคงรับฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 200 บาทแต่ให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 นั้นพยานโจทก์ไม่พอฟังให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดดังฟ้อง แต่จำเลยที่ 2เป็นคนนอกคดี คำพิพากษาในคดีแพ่งไม่ผูกพันถึง เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ตามมาตรา 350 ที่จะมีผลถึงคนนอกคดีก็จำต้องดำเนินการในชั้นบังคับคดี เพื่อจะยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก่อนจำเลยที่ 2 ได้รับโอนทรัพย์ไว้จากจำเลยที่ 1 ก่อนคำบังคดีของศาลไปถึงจำเลยที่ 1 โดยรับโอนไว้ตามมูลหนี้ที่มีอยู่กับจำเลยที่ 1ก่อน ในราคาพอสมควรโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ทราบคำสั่งตามคำบังคับให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จะถือว่าจำเลยที่ 2ทำการทุจริตต่อโจทก์ด้วยไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 3 โจทก์มิได้ขออายัดที่ดินให้ถูกต้องตามระเบียบ การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ในการจดทะเบียนจึงไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างว่าได้ทำความเสียหายให้แก่โจทก์จำเลยที่ 2, 3 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าคนภายนอกคดีจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้ จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อนถ้าคนภายนอกร่วมกระทำกับลูกหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา350 ก็เป็นตัวการมีความผิดตามมาตรานี้ได้ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติเมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติการไปตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบแบบแผนแล้ว จึงไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.

Share