คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3991/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิจะต้องเป็นการซื้อของที่ตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ซึ่งหน้าที่พิสูจน์ในกรณีนี้ตกอยู่แก่จำเลยที่จะต้องมีภาระการพิสูจน์ว่าสินค้าของกลางซึ่งได้นำเข้ามาจากต่างประเทศได้เสียภาษีโดยถูกต้องแล้ว ดังที่มาตรา 100 บัญญัติไว้หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบไม่ เมื่อจำเลยไม่นำสืบ เพียงแต่อ้างว่าเป็นสินค้าที่จำหน่ายโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพราะขายในตลาดสุขาภิบาลโดยเปิดเผย จึงเป็นความเข้าใจของจำเลยที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับกรณีนี้ และไม่เป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิด จึงต้องฟังว่าจำเลยซื้อสินค้าของกลางโดยรู้ว่ายังไม่ได้เสียค่าภาษี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มีผู้นำผ้าผืนจำนวน 924 เมตร ราคา 3,696 บาทจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี และยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีอากร ซึ่งต้องเสียค่าภาษีอากรขาเข้าสำหรับสินค้าผ้าดังกล่าวเป็นเงิน 7,522.68 บาท รวมราคาสินค้าผ้าและค่าภาษีอากรขาเข้าทั้งสิ้นเป็นเงิน 11,218.68 บาทโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดผ้าจำนวน924 เมตร ดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นของกลางทั้งนี้โดยจำเลยได้นำผ้าจำนวน 924 เมตร ที่ยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง รวมราคาผ้าและค่าภาษีอากรขาเข้าทั้งสิ้นเป็นเงิน 11,218.68 บาท จากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร โดยเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือมิฉะนั้นจำเลยซื้อรับไว้ซึ่งสินค้าผ้าของกลางจำนวน 924 เมตร รวมราคาสินค้าและค่าภาษีอากรขาเข้าเป็นเงิน 11,218.68 บาท จากผู้ลักลอบนำผ้าดังกล่าวจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นผ้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27, 27 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2499 (ที่ถูกต้องพ.ศ. 2489) มาตรา 6, 9 ปรับ 40,704 บาท ริบของกลางกับให้จ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับ และจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย ข้อหาอื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืนแต่ให้จำเลยจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับร้อยละ 30 ของค่าปรับและให้จ่ายรางวัลร้อยละ 15 ของค่าปรับแก่เจ้าพนักงานผู้จับจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อผ้าของกลางในตลาดสุขาภิบาลที่วางขายโดยเปิดเผย ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นสินค้าผ้าที่หลบหนีภาษีศุลกากร และไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั้นเห็นว่า โจทก์มีนายเซิ่น เหงียน อาชีพตัดเย็บเสื้อผ้านางพันมหา หนูเผือก อาชีพค้าขายสินค้าที่นำมาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เบิกความยืนยันว่าสินค้าผ้าของกลาง ผลิตขึ้นในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามแล้วนำมาจำหน่ายในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้ปรากฏว่าจังหวัดนครพนมได้กวดขันเรื่องการลักลอบขนสินค้าหนีภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าผ้าที่ผลิตในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แล้วลักลอบเข้ามาในประเทศไทยจากประเทศสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาวมีรายละเอียดตามหนังสือราชการของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเอกสารหมาย จ.7เนื่องจากกระทบกระเทือนอุตสาหกรรมครอบครัวของประชาชนในจังหวัดดังที่พันตำรวจตรีอำนวย นิยมค้า เบิกความว่าผ้าดังกล่าวมีคุณภาพดีกว่าและถูกกว่าผ้าพื้นเมือง จำเลยเองซึ่งมีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าก็นำสืบรับว่า สินค้าผ้าของกลางนำมาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เหตุที่ซื้อก็เพราะมีคุณภาพดีและราคาถูกดังนั้น ข้อเท็จจริงในคดีจึงฟังได้ว่าผ้าของกลางเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวซึ่งโดยปกติการนำเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องเสียค่าภาษีหรือได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องจำเลยฎีกาโต้แย้งต่อไปว่า จำเลยซื้อสินค้าผ้าที่วางขายโดยเปิดเผยในตลาดต้องถือว่าสินค้านั้นเป็นผ้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยไม่ควรมีความผิดนั้น ในข้อนี้ เห็นว่าความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ ที่แก้ไขแล้วจะต้องเป็นการซื้อของที่ตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังได้แล้วว่าเป็นสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรคงมีข้อโต้เถียงกันเพียงว่า จำเลยรู้หรือไม่ว่าสินค้าผ้าของกลางไม่ได้เสียค่าภาษี ซึ่งหน้าที่พิสูจน์ในกรณีนี้ตกอยู่แก่จำเลยที่จะต้องมีภาระการพิสูจน์ว่าสินค้าผ้าของกลางได้เสียภาษีโดยถูกต้องแล้ว ดังที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 100 บัญญัติไว้ หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบไม่ เมื่อจำเลยไม่นำสืบเพียงแต่อ้างว่าเป็นสินค้าที่จำหน่ายโดยถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นความเข้าใจของจำเลยที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับกรณีนี้ และไม่เป็นข้อแก้ตัวให้พ้นคดี คดีต้องฟ้องว่า จำเลยซื้อผ้าของกลางโดยรู้ว่ายังไม่ได้เสียค่าภาษีทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดและลงโทษมาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share