คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3895/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในฟ้องแล้วว่า กฎหมายของประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้บังคับครอบคลุมไปถึงเมืองฮ่องกงที่เป็นอาณานิคม ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ทำ ณ กรุงเบอร์น ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ย่อมมีความหมายว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยแล้ว เอกสารสำคัญที่คู่ความจะต้องปฏิบัติ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา47 วรรคสาม นั้นต้องเป็นเอกสารที่ศาลมีเหตุอันควรสงสัย หรือคู่ความอีกฝ่ายยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นเอกสารแท้จริงหรือไม่จึงให้ศาลมีอำนาจสั่งให้คู่ความยื่นเอกสาร ตามวิธีการในวรรคสามนี้ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ร่วมได้มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ศาลจึงไม่มีเหตุอันควรสงสัย และเมื่อจำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่า เอกสารนั้นมิใช่หนังสือมอบอำนาจแท้จริงจึงไม่มีเหตุต้องวินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจได้ทำถูกต้องตามป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม หรือไม่ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติให้สิทธิในเงินค่าปรับที่จำเลยได้ชำระตามคำพิพากษาจำนวนกึ่งหนึ่งแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ เพื่อบรรเทาความเสียหายและเป็นการชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่ง ถือได้ว่าเป็นบทบัญญัติพิเศษซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องในคดีอาญา และไม่มีกฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องระบุขอเงินค่าปรับมาในคำขอท้ายฟ้องคดีอาญา แม้โจทก์มิได้ขอไว้ในคำขอท้ายฟ้องผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษากึ่งหนึ่ง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทเทเลวิชั่น บรอดแคสท์ จำกัด ผู้เสียหายเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ เป็นผู้สร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ในแถบบันทึกภาพและเสียง รวม 11 เรื่องภาพยนตร์ทั้ง 11 เรื่องนี้ได้นำออกโฆษณาเผยแพร่ครั้งแรกที่เมืองฮ่องกง ประเทศอังกฤษและประเทศไทยต่างเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ค.ศ. 1886 กฎหมายของประเทศอังกฤษซึ่งใช้บังคับครอบคลุมไปถึงเมืองฮ่องกงให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศภาคีอื่น ๆ ภาพยนตร์อันมีลิขสิทธิ์ของบริษัทดังกล่าวจึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2530 เวลากลางวัน จำเลยได้ทำแถบบันทึกภาพและเสียงโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและได้นำออกให้เช่า เสนอขาย และเสนอให้เช่าแก่ประชาชนทั่วไปเพื่อการค้าอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 4, 27, 42, 44, 47พระราชกฤษฎีกา กำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศพ.ศ. 2526 มาตรา 3, 4 ให้ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทเทเลวิชั่น บรอดแคสท์ จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 27 ประกอบด้วยมาตรา 44 วรรคสองจำคุก 4 เดือน ปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ภาพยนตร์วีดีโอเทปของกลางตกเป็นของโจทก์ร่วม และจ่ายค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษาให้โจทก์ร่วมกึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่จ่ายค่าปรับที่ได้ชำระตามคำพิพากษาให้โจทก์ร่วมกึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องเลยว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทย จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบนั้น ในเรื่องนี้โจทก์ได้กล่าวในฟ้องแล้วว่า ฯลฯ กฎหมายของประเทศอังกฤษซึ่งใช้บังคับครอบคลุมไปถึงเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าว ฯลฯซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยอันมีความหมายว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยแล้วส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ภาพยนตร์ตามฟ้องที่อ้างว่าเป็นงานสร้างสรรค์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายเมืองฮ่องกงกำหนดไว้นั้นเป็นกฎหมายอะไร บัญญัติขึ้นเมื่อไร และประกาศใช้เมื่อใดที่ไหนนั้นล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบในชั้นพิจารณาการไม่กล่าวไว้ในคำฟ้องถึงรายละเอียดดังกล่าวหาทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์ร่วมมีสภาพเป็นนิติบุคคลหรือไม่จำเลยฎีกาว่าเอกสารที่แสดงความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ร่วมเป็นเอกสารซึ่งทำขึ้นที่เมืองฮ่องกงต้องมีเจ้าพนักงานโนตารีปับลิกเป็นผู้รับรองความถูกต้องของเอกสาร แล้วให้กงสุลไทยประจำเมืองฮ่องกงรับรองความเป็นเจ้าพนักงานโนตารีปับลิก โจทก์ร่วมหาได้ให้กงสุลไทยรับรองความถูกต้องของเอกสารไม่ จึงเป็นเอกสารที่มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ย่อมฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเมืองฮ่องกงไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารสำคัญที่คู่ความจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47วรรคสาม นั้น จะต้องเป็นเอกสารที่ศาลมีเหตุอันควรสงสัยหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นเอกสารอันแท้จริงหรือไม่ จึงให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความนั้นยื่นเอกสารตามวิธีการในวรรคสาม เมื่อคดีนี้ศาลไม่มีเหตุอันควรสงสัยและจำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัย ทั้งมิได้นำสืบปฏิเสธความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ร่วมประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ร่วมจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกง และขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณาโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยแนบเอกสารแสดงความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ร่วมมาท้ายคำร้องจำเลยแถลงไม่คัดค้าน จึงเท่ากับยอมรับว่าโจทก์ร่วมมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามคำฟ้อง ข้อฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ร่วมไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลจึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามเอกสารหมาย จ.10 และ 11 ของโจทก์ร่วมเป็นเอกสารซึ่งทำที่เมืองฮ่องกงอันเป็นเมืองที่มีกงสุลไทยประจำอยู่ แต่กงสุลไทยมิได้รับรองความถูกต้องของเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47 ดังกล่าว จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมได้มอบอำนาจจริงนั้น เห็นว่า นอกจากฝ่ายโจทก์จะมีนายชัยชนะ จิระมงคล กรรมการของบริษัทซีเนกรุ๊ป จำกัด ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่าโจทก์ร่วมได้มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ในคดีนี้โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างแล้ว ศาลก็ไม่มีเหตุอันควรสงสัยและจำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าเอกสารนั้นมิใช่หนังสือมอบอำนาจอันแท้จริงคดีจึงไม่มีเหตุต้องวินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจนั้นได้ทำถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47 วรรคสาม หรือไม่ คดีฟังได้ว่าโจทก์ร่วมได้มอบอำนาจตามที่นำสืบกันในคดีนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จ่ายค่าปรับที่ได้ชำระตามคำพิพากษาให้โจทก์ร่วมกึ่งหนึ่ง โดยที่โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้มีคำขอมาในฟ้องจึงเกินคำขอ สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521มาตรา 49 บัญญัติว่า “ค่าปรับที่ได้ชำระตามคำพิพากษาให้จ่ายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์เป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งสำหรับส่วนที่เกินจำนวนค่าปรับที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไได้รับแล้วนั้น” เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในเงินค่าปรับที่จำเลยได้ชำระตามคำพิพากษาจำนวนกึ่งหนึ่งเพื่อบรรเทาความเสียหายและให้ถือเป็นการชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งส่วนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นบทบัญญัติพิเศษซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องในคดีอาญา และไม่มีกฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องระบุขอเงินค่าปรับดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้องคดีอาญาแต่อย่างใด ฉะนั้น โจทก์ร่วมผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษากึ่งหนึ่งแม้โจทก์จะมิได้ขอไว้ในคำขอท้ายฟ้องศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share