คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2577/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้จำนอง ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 728 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนฟ้องโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดแล้ว ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน หนังสือของสามีโจทก์ที่ยินยอมให้โจทก์ฟ้องจำเลย มิใช่ใบมอบอำนาจที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ แต่จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2537 จำเลยได้ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 26104 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้จำนวน 600,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีกำหนดไถ่ถอนภายใน 1 ปี หลังจากครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา2 ปี เป็นเงิน 180,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 26104 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยให้จำเลยชำระเงินจำนวน780,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน600,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไถ่ถอนจำนองก็ให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายมานพ รัตนเสวตวัฒน์ ไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการฟ้องคดีนี้ หนังสือให้ความยินยอมไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ โจทก์จะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1247/2529 ระหว่างนางสุภา รัตนเสวตวัฒน์ โจทก์ นางบุษกรกรรมารางกูร จำเลย ของศาลชั้นต้น ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลย ระยะเวลาที่โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระหนี้เป็นระยะเวลาที่สั้นเกินสมควร การมอบอำนาจให้บอกกล่าวทวงถามต้องทำเป็นหนังสือ แต่โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายพิพัฒน์ พาหุวัฒนกรมีจดหมายบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่จำนองด้วยวาจา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ในสัญญาจำนองระบุว่า ให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีแต่ความจริงโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนเท่ากับร้อยละ 24 ต่อปี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 ข้อกำหนดเรื่องดอกเบี้ยในสัญญาจำนองจึงตกเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 26104 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง ชำระหนี้โจทก์จำนวน600,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2529เป็นจำนวนดอกเบี้ยไม่เกิน 180,000 บาท ตามที่โจทก์ขอมา และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ไถ่ถอนจำนองชำระหนี้โจทก์ให้ยึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องเดียวกับคดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรและแจ้งการบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยบรรยายฟ้องว่า ก่อนฟ้องโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเห็นว่า คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ต่อมาเมื่อโจทก์ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ปัญหาต่อไปมีว่า หนังสือให้ความยินยอมของสามีโจทก์เอกสารหมาย จ.1 เป็นใบมอบอำนาจที่จะต้องปิดอากรแสตมป์หรือไม่เห็นว่าสามีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะสามีโจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยสามีโจทก์จึงไม่ต้องทำใบมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีแทน แต่โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะเป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยได้รับความยินยอมจากสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1479 หนังสือให้ความยินยอมของสามีโจทก์ เอกสารหมาย จ.1จึงไม่เป็นใบมอบอำนาจที่จะต้องปิดอากรแสตมป์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ แต่จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share