แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลย โดยมีข้อตกลงว่าหากโจทก์จัดการขายที่ดินได้ราคาเกิน 2,000,000 บาท แล้ว ส่วนที่เกินนั้นจำเลยยินยอมให้โจทก์เป็นค่าบำเหน็จทั้งสิ้น จำเลยขายที่ดินได้ในราคา 2,000,000 บาท การที่โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินของจำเลยสำเร็จย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ จึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 846 วรรคแรกส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้2,000,000 บาท เป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้นเป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่ ฉ.ในราคา 2,000,000 บาทก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จแต่เมื่อไม่ได้ความว่า ค่าบำเหน็จนั้นตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้ง ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยรวม 4 แปลง มีข้อตกลงว่าหากโจทก์จัดการขายที่ดินดังกล่าวได้ราคาเกิน 2,000,000 บาท แล้วส่วนที่เกินนั้นจำเลยยินยอมยกให้โจทก์เป็นค่าบำเหน็จทั้งสิ้น โจทก์ได้เสนอขายที่ดินของจำเลยให้แก่นายเฉลิม วัชรถานนท์ ในราคา 2,500,000 บาท และพานายเฉลิมไปดูที่ดินแล้ว นายเฉลิมก็พอใจ แต่วันต่อมานายเฉลิมได้พบกับจำเลยและจำเลยได้โอนขายที่ดินทั้ง 4 แปลงนั้นให้แก่นายเฉลิมในราคา2,000,000 บาท เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่านายหน้าให้แก่โจทก์ตามธรรมเนียมร้อยละ 5ของราคาที่ดินที่จำเลยขายไป 2,000,000 บาท คิดเป็นเงินค่าบำเหน็จ100,000 บาท โจทก์ได้ทวงถามแล้วจำเลยก็เพิกเฉย จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2529เป็นต้นไป ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,875 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 101,875 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินให้และไม่เคยตกลงว่าจะให้ค่าบำเหน็จใด ๆ แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ติดต่อหรือชี้ช่องให้นายเฉลิมไปซื้อที่ดินของจำเลย และโจทก์ก็ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้าว่านายเฉลิมจะไปติดต่อซื้อที่ดินจากจำเลย นายเฉลิมได้ไปติดต่อซื้อที่ดินจากจำเลยโดยตรงจำเลยไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการจ่ายค่านายหน้าให้แก่โจทก์ จำเลยขายที่ดินไปเพียง 2,000,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จเพราะขายที่ดินได้ไม่เกิน 2,000,000 บาท และกรณียังไม่อาจถือได้ว่ามีการตกลงเป็นจำนวนตามธรรมเนียมแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในชั้นนี้แต่เพียงว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจำเลยหรือไม่เพียงใด จำเลยฎีกาว่า กรณีในคดีนี้ ข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องค่าบำเหน็จนายหน้าระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันไว้ชัดแจ้งมิใช้ตกลงกันโดยปริยาย ต้องถือหลักเกณฑ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 จะถือหลักเกณฑ์ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 ไม่ได้นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินของจำเลยสำเร็จ ย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ จึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคแรก ส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้ 2,000,000 บาท เป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้น เป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่นายเฉลิมในราคา 2,000,000 บาทก็ตาม จำเลย(ที่ถูกน่าจะเป็นโจทก์) ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ แต่เมื่อไม่ได้ความว่า ค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้ง ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่เคยติดต่อหรือแจ้งให้จำเลยทราบว่าได้แนะนำนายเฉลิมมาซื้อที่ดินจากจำเลย และโจทก์ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในการตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับนายเฉลิม อันเป็นการฎีกาต่อสู้ในประเด็นว่า สัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยกับนายเฉลิมมิได้สำเร็จด้วยการชี้ช่องของโจทก์นั้นเห็นว่า ประเด็นข้อนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่า การซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับนายเฉลิมสำเร็จด้วยการชี้ช่องของโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ ประเด็นดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในประเด็นข้อนี้อีกศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2505ระหว่าง บริษัทหลวงรักษา จำกัด โจทก์ พระยาปฏิพัทธภูบาล(คอหยู ณ ระนอง) จำเลย ที่จำเลยขึ้นกล่าวอ้างก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ และที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าบำเหน็จให้โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.