คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยจำนองทรัพย์พิพาทเป็นประกันต่อโจทก์ก็เพื่อนำเงินมาใช้ในกิจการค้าพืชไร่ของจำเลยผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาของจำเลยให้ความยินยอมเป็นหนังสือกิจการค้าของจำเลยเป็นสิ่งจำเป็นในครอบครัวจำเลยเพื่อนำรายได้มาใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตลอดถึงการรักษาพยาบาล เมื่อมีหนี้เกิดขึ้นจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490(1) และผูกพันทรัพย์พิพาทอันเป็นสินสมรส ผู้ร้องหามีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์พิพาทไม่.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง โดยเป็นส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่ง ผู้ร้องมิได้เป็นหนี้โจทก์และไม่เกี่ยวข้องผูกพันกับจำเลยในการที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ จึงขอกันส่วนของผู้ร้องไว้กึ่งหนึ่งก่อนแล้วจึงนำเฉพาะส่วนของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนำเงินไปประกอบธุรกิจการค้าเพื่อหารายได้มาจัดกิจการอันจำเป็นในครอบครัวและเลี้ยงดูครอบครัวโดยนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกันหนี้เป็นเงินเกินบัญชีดังกล่าวไว้ โดยผู้ร้องให้ความยินยอม จึงเป็นหนี้ร่วม ผู้ร้องจะขอกันส่วนไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้นำสืบโต้แย้งกันฟังยุติว่า ผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายปรากฏตามเอกสารหมาย ร.1 ทรัพย์พิพาทที่โจทก์นำยึดและอยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาดตามเอกสารหมาย ร.4 และ ร.6 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย และจำเลยได้นำไปจำนองเป็นประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์ในระหว่างสมรส ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวหรือหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้เป็นหนี้ร่วมหรือหนี้ที่จำเลยและผู้ร้องเป็นลูกหนี้ร่วมกันหรือไม่…
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยประกอบกิจการค้าขายพืชไร่โดยการกู้ยืมเงินโจทก์มาใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการค้าดังกล่าว…คดีเชื่อได้ว่าผู้ร้องและจำเลยยังอยู่กินด้วยกัน การที่จำเลยไปทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยจำนองทรัพย์พิพาทเป็นประกันก็เพื่อนำเงินมาใช้ในกิจการค้าพืชไร่ของจำเลยทั้งผู้ร้องก็ยินยอมตามเอกสารหมาย จ.6 กิจการค้าของจำเลยจึงเป็นสิ่งจำเป็นในครอบครัวจำเลยเพื่อนำรายได้มาใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตลอดถึงการรักษาพยาบาลด้วย เมื่อมีหนี้เกิดขึ้นจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องและจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1) และผูกพันทรัพย์พิพาท ผู้ร้องหามีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์พิพาทไม่…”
พิพากษายืน.

Share