แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีเจตนาหลอกลวงบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดตัวผู้ถูกหลอกลวงว่าเป็นผู้ใด จำเลยมีเจตนาหลอกลวงทุกคนที่ทราบเรื่องแล้วมาสมัครงานกับจำเลยและพวก โดยมิได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงเฉพาะผู้เสียหายบางคนที่จำเลยเป็นผู้ชักชวนให้ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,343 และให้จำเลยกับพวกร่วมกันใช้เงินจำนวน 160,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคหนึ่ง, 83 จำคุก 3 ปี และให้จำเลยใช้เงินจำนวน160,000 บาท คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ ในปัญหานี้ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า นอกจากจำเลยชักชวนนายเหลิน นายเหรียญ นายทองพูน นายประยงค์ และ นายบุญมีให้ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษแล้ว เมื่อนายสุวรรณซึ่งได้ทราบจากผู้อื่นว่ามีงานทำที่ประเทศอังกฤษโดยจำเลย นายณัฐนัย กับ นายสมศักดิ์ เป็นผู้จัดส่งไปทำและให้นายสุวรรณไปติดต่อกับจำเลยที่บ้านของนายสมนึก จำเลยก็ยืนยันกับนายสุวรรณว่างานนั้นมีจริงทั้งยังยืนยันเช่นนั้นต่อนายอำนวยและนายล้วนซึ่งผ่านไปพบและเข้าไปสอบถามอีกด้วย จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดตัวผู้ถูกหลอกลวงว่าเป็นผู้ใด จำเลยมีเจตนาหลอกลวงบุคคลทุกคนที่ทราบเรื่องแล้วมาสมัครงานกับจำเลยและพวก โดยมิได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงเฉพาะผู้เสียหายบางคนที่จำเลยเป็นผู้ชักชวนให้ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษเองเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามฟ้อง…”
พิพากษายืน.