คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกลงรถที่ปากซอยแล้วถูกผู้ตายขว้างแก้วมาทางจำเลยกับพวก ย่อมก่อความไม่พอใจแก่จำเลยกับพวก การที่จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสองจึงเห็นได้ว่า เป็นการตกลงร่วมกันที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสองนั่นเอง เมื่อพวกของจำเลยเข้าไปสอบถามสาเหตุจากผู้ตายและได้ใช้สุราที่ผู้ตายส่งให้ดื่มสาด หน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยอีกหลายคนก็แบ่งแยกกันทำร้าย ส. และ ม. ผู้เสียหายทั้งสองพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็พากันหลบหนีไปด้วยกัน ย่อมเป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย และผู้เสียหายทั้งสองแต่เนื่องจากมูลเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า พวกของจำเลยซึ่งมาด้วยกันกว่าสิบคนนั้นคนใดได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย ขณะจำเลยกับพวกเดินเข้าไปสอบถามสาเหตุจากผู้ตายนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่จำเลยกับพวกไม่พอใจผู้ตายนั้น ก็ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงแต่ชกหน้าผู้ตาย 1 ที ไม่ได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 288,83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 288 ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 15 ปีคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในห้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย12 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 1 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าวันเวลาเกิดเหตุ นายมนตรีและนายสุริยาผู้เสียหายทั้งสองถูกคนร้ายหลายคนรุมทำร้ายได้รับอันตรายแก่กาย นายปัญญาผู้ตายถูกคนร้ายหลายคนใช้มีดและไม้เป็นอาวุธ รุมทำร้ายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยร่วมกับกลุ่มคนร้ายฆ่าผู้ตาย และทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายสุริยาเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า ผู้ตาย นายมนตรี และพยาน นั่งดื่มสุรากันอยู่ที่ร้านขายลาบของนายมนตรีที่ปากซอยทีซีมัยซิน มีรถยนต์บรรทุกน้ำคันหนึ่งแล่นมาจอดที่ปากซอยวัยรุ่นประมาณ 15 คน ลงจากรถแล้ว รถคันดังกล่าวก็แล่นเข้าซอยไป ผู้ตายขว้างแก้วไปที่กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยรุ่นซุบซิบกันแล้วเดินมาหาผู้ตาย วัยรุ่นคนแรกถามผู้ตายว่า พี่ขว้างแก้วไปทำไม ผู้ตายบอกว่าจะเรียกมานั่งกินด้วยวัยรุ่นดังกล่าวถามว่า พี่รู้จักใคร ผู้ตายบอกว่า เห็นมากับรถบรรทุกน้ำซึ่งคนขับเป็นคนรู้จักกัน วัยรุ่นดังกล่าวพูดว่าไม่จริงหรอกพี่ไม่รู้จักกับคนขับรถ ผู้ตายส่งแก้วสุราให้วัยรุ่น วัยรุ่นรับแก้วแล้วสาดสุราใส่หน้าผู้ตาย ผู้ตายลุกขึ้นถอยหนี จำเลยซึ่งเป็นผู้ที่มาในกลุ่มวัยรุ่นนั้นเข้าไปผลักวัยรุ่นคนแรกออกแล้วชกหน้าผู้ตายเซไปพยานจะลุกจากเก้าอี้ก็ถูกวัยรุ่นซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตีที่ศีรษะ 1 ที เมื่อหันไปดูก็ถูกตีที่ไหล่จนทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงจึงเห็นผู้ตายวิ่งหนีไปที่ถนน วัยรุ่น 4-5 คน ไล่ตามไปใช้มีดและไม้รุมทำร้ายผู้ตายจนล้มลง นอนอยู่กลางถนน ขณะเดียวกันนายมนตรีก็ได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายจนได้รับอันตรายแก่กาย แล้วกลุ่มวัยรุ่นและจำเลยก็พากันหลบหนีไป ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมากับกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว และเป็นผู้ชกหน้าผู้ตายเป็นคนแรกตามที่นายสุริยาเบิกความ จำเลยมิได้โต้แย้ง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่นายสุริยาเบิกความ พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกลงรถที่ปากซอยแล้วถูกผู้ตายขว้างแก้วมาทางจำเลยกับพวก ย่อมก่อความไม่พอใจแก่จำเลยกับพวก การที่จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสอง จึงเห็นได้ว่าเป็นการตกลงร่วมกันที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสองนั้นเอง เมื่อพวกของจำเลยเข้าไปสอบถามสาเหตุจากผู้ตายแล้วได้รับคำชี้แจง ซึ่งยังไม่เป็นที่พอใจ พวกของจำเลยได้ใช้สุราที่ผู้ตายส่งให้ดื่มสาดหน้าผู้ตาย แล้วจำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนีพวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกับพวกของจำเลยอีกหลายคนก็แบ่งแยกกันทำร้ายนายสุริยาและนายมนตรีผู้เสียหายทั้งสองพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อนหลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็พากันหลบหนีไปด้วยกัน ย่อมเป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายทั้งสอง แต่มูลเหตุเกิดขึ้นโดยบังเอิญ สืบเนื่องมาจากที่ผู้ตายขว้างแก้วไปทางที่จำเลยกับพวกยืนอยู่โดยเข้าใจผิดว่าเป็นคนรู้จักกันจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยซึ่งมาด้วยกันกว่าสิบคนนั้นคนใดได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย ขณะจำเลยกับพวกเดินเข้าไปสอบถามสาเหตุจากผู้ตายนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่จำเลยกับพวกไม่พอใจผู้ตายนั้นก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วไปทางที่จำเลยกับพวกยืนอยู่เท่านั้น ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงแต่ชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายคงฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทง และผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก และมาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83แต่การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรกซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share