คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับว่าสัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยทำให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ไว้ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริงไม่ต้องด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่ห้ามมิให้รับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จำเลยอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชัยวุฒิ ประภามงคลตามคำสั่งศาล ก่อนนายชัยวุฒิ ประภามงคล ถึงแก่กรรม จำเลยยืมเงินจากนายชัยวุฒิ ประภามงคล จำนวน 20,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 5 มกราคม 2530 นับแต่จำเลยกู้เงินแล้วจำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ยหรือต้นเงินให้แก่ผู้ให้กู้เลยจึงขอบังคับให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินนายชัยวุฒิ ประภามงคลผู้ตาย สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่จำเลยทำไว้ให้แก่ผู้ตายแต่จำเลยยังไม่ได้รับเงินจากผู้ตาย เพราะยังไม่สามารถตกลงกันเรื่องอัตราดอกเบี้ย ผู้ตายได้ยึดถือสัญญากู้ไว้ ต่อมาผู้ตายตายลงโจทก์จึงนำสัญญามาฟ้องเป็นคดีนี้ สัญญากู้ไม่มีการปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แต่อย่างใดแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ในเรื่องการกู้เงินประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่…” ในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสำเนาสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เมื่อจำเลยให้การรับอยู่ว่าเอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมายเลข 2 เป็นเอกสารที่จำเลยทำให้ไว้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้ตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสัญญากู้ซึ่งโจทก์อ้างแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริงจึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา118 ซึ่งบัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับคู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว…” จำเลยซึ่งอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์เมื่อจำเลยไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเชื่อฟังได้ดังกล่าวและศาลฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปแล้วไม่ใช้ จำเลยก็ต้องแพ้คดี ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share