แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 1,473,820.10 บาท เป็นหนี้จำนองรวมเป็นเงินและดอกเบี้ย 17 ล้านบาทเศษ การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญนำยึดทรัพย์จำเลยมีราคา 15,848,500 บาท นั้นไม่เป็นการยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี จำเลยที่ 1 ยอมรับเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมในการยึดแล้วไม่มีการขายทั้งหมด.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่า จำเลยที่ 1และที่ 3 ตกลงร่วมกันรับผิดชำระหนี้จำนวน 1,473,820.10 บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินทั้งสามแปลงและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 15,848,500 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์เกินกว่าหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายที่สูงกว่าหนี้ซึ่งยึด
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมคู่ความ โจทก์แถลงว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดทั้งสามแปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างติดจำนองกับบุคคลอื่นจำนวน11 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวน 6 ล้านบาทเศษ หากขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแปลงได้มากกว่า 17 ล้านบาท โจทก์ก็อาจนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ และหลังจากยึดที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอชำระหนี้โดยขอให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย โจทก์ตกลง จำเลยที่ 1 แถลงว่า ที่ดินทั้งสามแปลงติดจำนองบุคคลอื่นจริง แต่ยอดหนี้ไม่เกิน 10 ล้านบาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 26 เมษายน2531 เป็นจำนวนเพียง 1,473,820.10 บาท แต่โจทก์นำยึดที่ดินถึงสามแปลงซึ่งมีราคาประเมินถึง 15,848,500 บาท เกินกว่าหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายในส่วนที่เกินกว่าหนี้ตามคำพิพากษาและโจทก์มีหน้าที่ในการชำระค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องที่จำเลยที่ 1 ยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้น จำเลยที่ 1 ได้แต่ร้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1รับผิดชำระค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์ในอัตราร้อยละสามครึ่งของหนี้ตามคำพิพากษาหรือตามแต่ศาลจะเห็นสมควรเท่านั้นหาได้ร้องขอว่าตนไม่จำต้องรับผิดหรือโจทก์ชอบที่จะต้องเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมดังกล่าวแต่ผู้เดียวไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวข้างต้นจึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ คงมีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายเพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์ 1,473,820.10 บาท โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญนำยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 ที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษามีราคาตามการประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีจำนวน 15,848,500 บาทแต่ปรากฏว่าทรัพย์ดังกล่าวติดจำนอง ยอดหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 17 ล้านบาทเศษ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า หนี้จำนองเป็นหนี้บุริมสิทธิ์ เจ้าหนี้จำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ เช่นนี้จะให้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่เฉพาะเท่าที่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์ก็คงหมดโอกาสจะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์ที่นำยึด การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์รายนี้จึงไม่เป็นการยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีและเมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายทั้งหมด คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.