คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องนั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือจะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้นอย่างใดที่ศาลอุทธรณ์เพียงสั่งว่า “รวม” จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(1) เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเสร็จไปแล้ว การที่จะเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด เพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี แม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วก็ตาม หากต่อมาในชั้นพิจารณาและพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดีก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 การบังคับคดีจะต้องเป็นไปตามคำพิพากษา รายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในวันทำคำพิพากษาตามยอมนั้น แม้จะมีถ้อยคำที่แตกต่างไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่มีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนคำพิพากษาตามยอมเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนนั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากที่ดินและอาคารที่เช่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายประสงค์ วีระกุล เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ต่อมาโจทก์จำเลยและจำเลยร่วมตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แต่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า “ในสัญญายอมข้อ 2 ซึ่งกำหนดว่าเมื่อครบกำหนดการเช่าแล้ว จำเลยร่วมไม่ยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินพร้อมอาคารให้แก่โจทก์ ให้ถือว่าผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ศาลเห็นว่าสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยร่วมเป็นสัญญาฉบับใหม่เมื่อครบกำหนดการเช่า จำเลยร่วมไม่ปฏิบัติตามสัญญาฉบับใหม่อย่างใดก็เป็นเรื่องใหม่ซึ่งต้องว่ากล่าวกันต่างหาก โจทก์ขอให้คงไว้จึงให้คงไว้ตามเดิม”
โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้อความที่ศาลชั้นต้นจดบันทึกไว้ดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจดบันทึกไว้ได้และเป็นเรื่องนอกประเด็น ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนข้อความนั้นเสียและให้คู่ความบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ให้โจทก์นำส่งสำเนาให้จำเลยและทนายจำเลยร่วมภายใน 7 วัน
ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้อง 1 กันยายน2532 ต่อศาลอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะประเด็นเกี่ยวกับจำเลยร่วมเท่านั้น ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและมีคำสั่งไม่ต้องส่งสำเนาอุทธรณ์หรือสำเนาคำร้องใด ๆ แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์โจทก์ ส่วนคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่ง ศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์เพียงสั่ง “รวม” ไว้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องนั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือจะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้นอย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์สั่งเพียงว่า “รวม” จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(1) ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อคดีปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเสร็จไปแล้ว การที่จะเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลย ย่อมจะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด เพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงฎีกาของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาสุดท้ายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบหรือไม่ เห็นว่าแม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วก็ตามหากต่อมาในชั้นพิจารณาและพิพากษาคดี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดี ก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และในข้อนี้ ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า การบังคับคดีนั้นจะต้องเป็นไปตามคำพิพากษา รายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในวันทำคำพิพากษาตามยอมให้โจทก์จำเลยและจำเลยร่วมนั้น แม้จะมีถ้อยคำที่แตกต่างไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ไม่มีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมตลอดจนคำพิพากษาตามยอมเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนนั้นจึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
พิพากษายืน

Share