คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเงินกู้และตั๋วสัญญาใช้เงินแตกต่างจากคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว ตามคำฟ้องได้ระบุยอดหนี้และรายละเอียดเกี่ยวกับการฝากเงินถอนเงินและการคิดดอกเบี้ย ปรากฏตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องเมื่อจำเลยเห็นว่ารายการใดไม่ถูกต้อง ชอบที่จะให้การโต้แย้งไว้ว่าการคิดคำนวณรายการดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะเหตุใดและถามค้านพยานโจทก์ในข้อนั้นไว้ เมื่อสืบพยาน จำเลยก็นำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ เมื่อจำเลยนำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ก็ดีไม่ได้นำสืบพยานหักล้างก็ดี ศาลชอบที่จะฟังตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าโจทก์คิดคำนวณบัญชียอดหนี้ถูกต้องแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์จำนวน 2,000,000 บาททำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 3,000,000 บาท และนำตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 500,000 บาท มาแลกเงินไปจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1 ได้จำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ด้วย ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดจึงขอให้ชำระหนี้เงินกู้จำนวน 2,697,564.30 บาท หนี้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน4,268,469.91 บาท และหนี้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 639,725.99 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ หรือชำระไม่ครบถ้วนก็ขอบังคับจำนอง หากยังได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ขอบังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองจนครบจำนวนหนี้
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงิน 2,000,000บาท กับโจทก์จริง แต่ไม่ได้รับเงิน ส่วนหนี้เบิกเงินเกินบัญชีนั้นจำเลยที่ 1 หักทอนบัญชีกับโจทก์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2527จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นแก่จำเลยที่ 1 อีก การคำนวณเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องโจทก์ผิดพลาด ฟ้องโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับสัญญากู้และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเคลือบคลุมจำเลยที่ 1 ไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงินนำไปแลกเงินจากโจทก์หากฟังว่าจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจริงคดีก็ขาดอายุความแล้วจำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้และบังคับจำนองแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระก็ให้นำทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยรับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยให้หักดอกเบี้ยทบต้นจำนวน 1 วันออก
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องระบุว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 2,000,000 บาท ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีรวม 2 ครั้ง เป็นเงิน 3,000,000 บาท และได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินสั่งจ่ายเงิน 500,000 บาท มาแลกเงินจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 1จำนองที่ดิน และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ทำสัญญากู้เงินจริง แต่ไม่ได้รับเงิน หนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโจทก์คิดไม่ถูกต้อง และจำเลยที่ 1 ไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อนำไปแลกเงินจากโจทก์ แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้เงินโจทก์ แต่บริษัทมวกเหล็ก เซมิน่า จำกัดเป็นผู้กู้ หนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์จะต้องนำสืบความถูกต้องของบัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.24 ส่วนหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระให้โจทก์ ดังนี้จะเห็นได้ว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1เกี่ยวกับสัญญาเงินกู้และตั๋วสัญญาใช้เงินแตกต่างจากคำให้การจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว ส่วนเรื่องสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นตามคำฟ้องได้ระบุยอดหนี้และรายละเอียดเกี่ยวกับการฝากเงินถอนเงิน และการคิดดอกเบี้ย ปรากฏตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันที่แนบมาท้ายฟ้องแล้ว เมื่อจำเลยเห็นว่ารายการใดไม่ถูกต้อง ชอบที่จะให้การโต้แย้งไว้ว่า การคิดคำนวณรายการดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด และถามค้านพยานโจทก์ในข้อนั้นไว้ เมื่อสืบพยานจำเลยก็นำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ เมื่อจำเลยนำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ก็ดี ไม่ได้นำสืบพยานหักล้างก็ดี ศาลชอบที่จะฟังตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าโจทก์คิดคำนวณบัญชียอดหนี้ถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน

Share