คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลที่อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนหนี้จำนองไว้ในคำสั่งด้วย

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์บังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่26865 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาตามยอมว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ยอมรับผิดร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 9,964,127.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปีของต้นเงิน 6,017,061.28 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น สำหรับจำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 6,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19ต่อปี ของต้นเงิน 3,250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ส่วนจำเลยที่ 5 ยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นจำเลยทั้งห้ายอมรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมตามอัตราส่วนหนี้ที่แต่ละคนต้องรับผิดในส่วนที่โจทก์ไม่ได้รับคืนจากศาลพร้อมทั้งค่าทนายความจำนวน 100,000 บาท โดยจำเลยทั้งห้าขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ดังนี้ ภายในวันที่ 30 มีนาคม 2529 จะชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 2,800,000 บาท พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความอีก 100,000 บาท ภายในวันที่ 30 ธันวาคม2529 จะชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 6,000,000 บาท ภายในวันที่ 30มิถุนายน 2530 จะชำระหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างทั้งสิ้นให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าว หากจำเลยทั้งห้าผิดนัดชำระหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดหรือข้อหนึ่งข้อใด จำเลยทั้งห้ายอมให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และหรือยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2611พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 4 ที่ดินโฉนดเลขที่ 23836ซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ที่ดินโฉนดเลขที่ 23835พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 4 และที่ดินโฉนดเลขที่ 23839พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 4 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยทั้งห้ายังต้องชำระหนี้ให้โจทก์ตามส่วนจนครบ และหรือให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบต่อมาจำเลยได้ทำการรังวัดแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 23839 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยระหว่างจำนองออกเป็นที่ดินแปลงย่อยหลายแปลงซึ่งแต่ละแปลงยังคงติดจำนองผู้ร้องอยู่ดังเดิม และที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 เป็นที่ดินแปลงย่อมแปลงหนึ่งที่ถูกแบ่งแยกออกมาต่อมาจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยคงเป็นหนี้ผู้ร้องคำนวณถึงวันที่ยื่นคำร้องเป็นเงินทั้งสิ้น13,675,393.58 บาท นอกจากนั้นจำเลยยังต้องชำระดอกเบี้ยแก่ผู้ร้องในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 6,017,061 บาท และดอกเบี้ยในอัตตาร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาทนับถัดจากวันยื่นคำร้องนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้ผู้ร้องจนครบถ้วน ต่อมาโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาขายทอดตลาด ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองย่อมมีบุริมสิทธิได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้รายอื่นขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยปลอดจำนองและให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีบุริมสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่26865 ที่โจทก์นำยึด ที่ดินดังกล่าวติดภาระจำนองไว้กับผู้ร้องตามที่จดทะเบียนไว้ไม่เกิน 250,000 บาท ผู้ร้องสามารถดำเนินการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้โดยไม่ยากขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ผู้ร้องรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 26865ติดจำนองอยู่กับผู้ร้องในวงเงินตามสัญญาจำนองจำนวน 250,000 บาทผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองเพียงไม่เกินจำนวนเงินดังกล่าว การที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยมิได้วินิจฉัยและระบุให้แน่นอนว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นเป็นจำนวนเท่าใดไว้ในคำสั่งจึงไม่ชอบ พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคแรก บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลใดชอบที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นได้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้ก็ดี หรืออาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิก็ดี บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้เอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่อาจบังคับเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองหลุด ผู้รับจำนองจะมีคำขอดังกล่าวข้างต้นให้เอาทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นหลุดก็ได้” เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวกฎหมายมิได้บังคับว่าศาลจะต้องระบุจำนวนหนี้จำนองที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับก่อนเจ้าหนี้อื่นไว้ในคำสั่ง ในชั้นนี้ศาลจึงคงพิจารณาแต่เพียงว่าผู้ร้องเป็นบุคคลที่ชอบจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้หรือไม่เท่านั้น ทั้งในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าได้มีการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 แล้วหรือไม่ จึงไม่อาจทราบได้ว่า ผู้ร้องจะได้รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดก่อนโจทก์เป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 โดยมิได้ระบุจำนวนหนี้จำนองไว้ด้วยจึงชอบแล้ว” พิพากษายืน

Share