คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์แนบบัญชีรับ-จ่ายเงินฉบับที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขให้ถูกต้องแล้วมาท้ายอุทธรณ์ เพื่อแถลงให้ศาลทราบถึงความผิดพลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนี้ เป็นเพียงการเน้น ให้ศาลทราบเพื่อพิจารณาประกอบพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเพื่อให้เห็นว่ามีการขายที่ดินไปทั้งสามแปลงแล้วจริงเท่านั้นโจทก์ชอบที่จะทำได้หาใช่พยานหลักฐานที่โจทก์ยกขึ้นอ้างใหม่ในชั้นอุทธรณ์ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่จำนองทั้งสามแปลงและขายทอดตลาด เมื่อหักค่าฤชาธรรมเนียมแล้วโจทก์ได้รับชำระหนี้ไม่เต็มตามคำพิพากษา คงค้างชำระ 139,622.38 บาท เมื่อคำนวณจำนวนหนี้ถึงวันฟ้องคดีนี้รวมเป็นเงิน 238,838.82 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์อื่นใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้อีก จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า เหตุที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมิใช่คนมีหนี้สินล้นพ้นตัวเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเงินผิดพลาดโดยลงเลขที่โฉนดที่ดินที่ขายทอดตลาดเพียงแปลงเดียวส่วนอีกสองแปลงซึ่งขายไปพร้อมกัน มิได้นำเลขที่โฉนดมาแสดงไว้ในบัญชีรับ-จ่ายเงิน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 เป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีการขายที่ดินไปเพียงแปลงเดียว ยังคงเหลืออีกสองแปลง ซึ่งหากขายไปจะได้เงินมาเพียงพอแก่การชำระหนี้ทั้งหมด ลูกหนี้จึงไม่ใช่คนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ความจริงที่ดินขายไปหมดทั้งสามแปลงแล้ว เมื่อปรากฏความผิดพลาดขึ้นดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แก้ไขบัญชีแสดงการรับ-จ่ายเงินให้ปรากฏว่ามีการขายที่ดินไปหมดทั้งสามแปลงและโจทก์แนบบัญชีที่แก้ไขแล้วมาท้ายอุทธรณ์ด้วย ปัญหาจะต้องวินิจฉัยจึงมีว่า จะรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ตลอดจนบัญชีรับ-จ่ายเงินที่แก้ไขแล้วว่าจำเลยเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวได้เพียงใดหรือไม่เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้ตามคำพิพากษาโดยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 35744, 35745, 34746 รวม 3 แปลง จำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมาได้ยึดที่ดินทั้งสามแปลงมาขายทอดตลาดชำระหนี้แล้วได้เงินเพียง 103,000 บาท ไม่พอชำระหนี้ทั้งหมด โดยมีบัญชีรับ-จ่ายเงิน เอกสารหมาย จ.5 แนบมาท้ายฟ้องด้วย เอกสารฉบับนี้มีการแก้ไขแล้วตรงกับฉบับที่โจทก์แนบมาท้ายอุทธรณ์ แสดงให้เห็นว่ามีการขายทอดตลาดโฉนดที่ 35744 ถึง 35746 รวม 3 แปลง ได้เงิน 103,000 บาทตรงกับที่บรรยายมาในคำฟ้องและในชั้นสืบพยานโจทก์มีนายธวัชชัยไกรสิงห์ มาเบิกความว่า ในการบังคับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15178/2525ของศาลชั้นต้น พยานได้นำยึดที่ดินของจำเลยทั้งสามแปลงตามเอกสารหมาย จ.5 และขายทอดตลาดได้ไม่พอชำระหนี้จากพยานหลักฐานดังกล่าวพอฟังได้แล้วว่ามีการยึดและขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแปลงไปแล้วฉะนั้นแม้บัญชีรับ-จ่ายเงินเอกสารหมาย จ.6 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำขึ้นโดยลงเลขที่โฉนด 35744 เพียงแปลงเดียว ไม่ลงว่าได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35745 กับ 35746 ไปด้วยอันเป็นความเลินเล่อของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม ไม่ทำให้การฟังข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปคงฟังได้ว่ามีการขายที่ดินที่ยึดไปทั้งสามแปลงแล้ว ส่วนที่โจทก์แนบบัญชีรับ-จ่ายเงินฉบับที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขให้ถูกต้องแล้วมาท้ายอุทธรณ์เป็นเพียงการแถลงให้ศาลทราบถึงความผิดพลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารแนบท้ายอุทธรณ์เป็นเพียงการเน้นให้ศาลทราบเพื่อพิจารณาประกอบพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเพื่อให้เห็นว่ามีการขายที่ดินไปทั้งสามแปลงแล้วจริงเท่านั้นหาใช่พยานหลักฐานที่โจทก์ยกขึ้นอ้างใหม่ในชั้นอุทธรณ์ไม่ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่ามีการขายที่ดินที่ยึดทั้งหมดสามแปลงหักใช้หนี้แล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีก 139,622.38 บาท คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินที่เป็นหนี้ 238,838.82 บาท และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะให้ยึดมาชำระหนี้ได้อีก จำเลยจึงเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท หนี้ดังกล่าวกำหนดจำนวนได้แน่นอนและไม่มีเหตุสมควรที่จะไม่ให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย ตามนัยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา8(5), 9, 14 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14.

Share