คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดกรีดใบหน้าโจทก์แผลยาว 3 นิ้วครึ่ง ลึก 1 นิ้ว เมื่อบาดแผลหายแล้วมีแผลเป็นทำให้โจทก์มีใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัวการที่โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ เป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 446ศาลกำหนดให้โดยพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์และความร้ายแรง แห่งละเมิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธมีดยาว 12 เซนติเมตร กรีดทำร้ายโจทก์ที่ใบหน้าจากดั้งจมูกซ้ายถึงมุมปากซ้ายเป็นแผลยาว 9 เซนติเมตรลึกประมาณ 1 นิ้ว เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ใบหน้าปรากฏรอยแผลเป็นเสียโฉมอย่างติดตัว โจทก์ต้องผ่าตัดตกแต่งแผลเป็นบางส่วนแต่ก็ไม่หายเป็นปกติต้องทำศัลยกรรมตกแต่งด้วยวิธีผ่าตัดและโจทก์ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน อับอายขายหน้าและมีบาดแผลบนใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว หมดสิ้นความสวยงามไปตลอดชีวิต และมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของโจทก์อย่างยิ่ง ทำให้โจทก์ได้รับความทรมานทางจิตใจ ขาดความสุขไปตลอดชีวิต ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 258,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ใช้อาวุธมีดกรีดทำร้ายโจทก์ที่ใบหน้า เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ อย่างไรก็ตามค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินความจริง การศัลยกรรมตกแต่งไม่มีความจำเป็น ส่วนค่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ใบหน้าโจทก์ไม่ได้เสียโฉมเพียงมีรอยแผลบนใบหน้า ค่าเสียหายที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องจึงไม่ควรเกิน 35,500 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์118,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 248,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์สำเร็จปริญญาตรีทางนิติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ประกอบอาชีพทนายความและเป็นมัคคุเทศก์ด้วย ปัจจุบันไม่ได้ทำการสมรส จำเลยจบการศึกษาทางด้านทหารจากโรงเรียนจ่าทหารเรือ โจทก์รู้จักจำเลยตั้งแต่ปี 2526ในฐานะเป็นคู่รักกัน จำเลยมีบุตรภรรยาแล้ว ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยใช้มีดกรีดใบหน้าโจทก์จนได้รับอันตรายสาหัส มีบาดแผลยาว 3 นิ้วครึ่ง ลึกประมาณ1 นิ้ว เมื่อรักษาบาดแผลหายแล้ว ปรากฏว่ามีแผลเป็นทำให้โจทก์มีใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเรื่องค่าเสียหาย คือค่าตกแต่งแผลเป็นบางส่วน ค่าทำศัลยกรรมตกแต่งแผลเป็นให้เลือนหายสนอนาคต และค่าสินไหมทดแทนในการเสียสุขภาพอนามัยและใบหน้าเสียโฉมโดยจำเลยฎีกาว่าค่าตกแต่งแผลเป็นบางส่วน 6,000 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้นี้สูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าตกแต่งแผลเป็นเป็นการทำศัลยกรรมต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ค่าจ้างก็ต้องสูงประกอบกับโจทก์มีใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.3 มาแสดงและโจทก์ต้องเสียค่าพาหนะหลายครั้ง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายรายการนี้เป็นเงิน 6,000 บาท จึงชอบแล้ว จำเลยฎีกาว่าค่าทำศัลยกรรมตกแต่งแผลเป็นให้เลือนหายไปในอนาคต ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ 40,000 บาท สูงเกินไป อย่างมากไม่เกิน 11,500 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการตกแต่งแผลเป็นให้เลือนหายไปในอนาคตเป็นงานศัลยกรรมที่ละเอียดอ่อนต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ และยังไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องทำการผ่าตัดตกแต่งกี่ครั้งแผลเป็นจึงเลือนหายไปจากใบหน้า ค่าใช้จ่ายจึงต้องสูง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ 40,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว และที่จำเลยฎีกาว่าค่าสินไหมทดแทนในการเสียสุขภาพอนามัยและใบหน้าเสียโฉมที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้200,000 บาท นั้น มากไป อย่างมากไม่เกิน 20,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าค่าสินไหมทดแทนในการเสียสุขภาพอนามัยและใบหน้าเสียโฉมที่โจทก์เรียกร้องนี้ เป็นค่าทดแทนความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ซึ่งศาลย่อมกำหนดให้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด สำหรับคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยขาดศีลธรรม จำเลยหลอกโจทก์ว่าจำเลยเป็นโสด จนโจทก์หลงรักและเสียตัวให้จำเลย ครั้นเมื่อโจทก์ทราบในภายหลังว่าจำเลยมีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว โจทก์จึงแยกทางไม่ให้จำเลยมาติดต่ออีก แต่จำเลยกลับไม่ยอม เมื่อโจทก์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อคุ้มครองสิทธิของโจทก์ตามกฎหมาย จำเลยกลับใช้ความป่าเถื่อนกระทำแก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานด้านจิตใจไปตลอดชีวิต และความทุกขเวทนาทางร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกจำเลยทำร้าย ต้องรักษาบาดแผลเป็นเวลานาน1 เดือน และต้องทำการผ่าตัดทำศัลยกรรมตกแต่งเพื่อลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ถึงแม้จะทำศัลยกรรมตกแต่งแล้วก็ไม่สามารถที่จะลบรอยแผลเป็นให้หมดไปโดยสิ้นเชิงได้ ใบหน้าโจทก์ต้องเสียโฉมเกิดปมด้อย โจทก์ต้องได้รับความทุกข์ทรมานด้านจิตใจไปตลอดชีวิต อีกทั้งปรากฏว่าโจทก์ยังไม่ได้ทำการสมรส เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนรายการนี้เป็นเงิน 200,000 บาท เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข…”
พิพากษายืน.

Share