คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จ. ภรรยาโจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยและไม่สามารถชำระหนี้ได้จึงมอบที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยต่อมาปี 2527 โจทก์กับ จ. ทวงถาม น.ส.3 ก. คืนจากจำเลยแต่จำเลยไม่คืนให้อ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยแล้ว และจำเลยเป็นผู้ทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมา ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 150 เมื่อประมาณ 15 ปีมาแล้วนางจวน สังข์เทศ ภรรยาโจทก์ได้กู้เงินจากจำเลย ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ดังกล่าวมอบให้จำเลยเป็นประกันเงินกู้เมื่อครบกำหนด 5 ปี นางจวนและจำเลยได้ตกลงกันใหม่โดยให้จำเลยเข้าครอบครองทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าวมีกำหนด 7 ปี เพื่อแทนการชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยต่อมานางจวนถึงแก่กรรม เมื่อจำเลยครอบครองทำกินในที่ดินโจทก์ครบ 7 ปีแล้ว โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้บังคับจำเลยคืนหนังสือสัญญากู้เงินระหว่างนางจวนกับจำเลยและคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 150 และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และนางจวนร่วมกันกู้เงินจำเลย โดยตกลงให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย และได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 150 มามอบให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันหลังจากนั้นโจทก์และนางจวนไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลย ต่อมาเมื่อประมาณปี 2518 โจทก์และนางจวนตกลงให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยตกลงว่าถ้าโจทก์และนางจวนไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่จำเลยภายใน 3 ปี ก็ตกลงให้ที่ดินตกเป็นสิทธิแก่จำเลย จำเลยจึงเข้าครอบครองทำกินในที่ดิน เมื่อครบ 3 ปีแล้วโจทก์กับนางจวนไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลย ที่ดินจึงตกเป็นสิทธิแก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่ดินคืน เพราะจำเลยครอบครองอย่างเจ้าของตลอดมาเกินกว่า 5 ปีแล้วหลังจากนั้นจำเลยก็ได้ติดต่อขอให้โจทก์กับนางจวนไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลย แต่โจทก์กับนางจวนไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนให้ ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ และบังคับให้โจทก์ทำการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 150ให้แก่จำเลย หากไม่อาจทำได้ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์และนางจวนไม่เคยตกลงยกที่ดินให้จำเลย เพียงแต่ให้จำเลยเข้าครอบครองทำกินแทนการชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครอง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 150 ให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ฟ้องโจทก์ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้จำเลยคืนหนังสือสัญญากู้ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 150 แก่โจทก์ และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้โจทก์ชำระเงินกู้ 10,000 บาท แก่จำเลย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังได้เพียงว่า นางจวนภรรยาโจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยและไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงมอบที่ดินตาม น.ส.3ก. เอกสารหมาย ล.1 ของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย โดยโจทก์เป็นฝ่ายเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินตลอดมาอันเป็นการที่จำเลยครอบครองที่ดินแทนโจทก์เมื่อต่อมาปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์เองตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ก่อนนางจวนตาย โจทก์กับนางจวนได้ไปทวง น.ส.3 ก.เอกสารหมาย ล.1 คืนจากจำเลยในปี พ.ศ. 2527 แต่จำเลยไม่คืนให้อ้างว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวเป็นของจำเลยแล้ว และจำเลยเป็นผู้ทำกินที่ดินพิพาทตลอดมากรณีจึงเป็นการที่จำเลยยึดถือที่ดินพิพาทอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองคือโจทก์ แล้วจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 หลังจากนั้นโจทก์ไม่ได้ดำเนินการเรียกที่ดินคืนจากจำเลยจนมาฟ้องคดีนี้ในวันที่ 9 เมษายน 2530 อันเป็นเวลาเกินกว่า1 ปี แต่จำเลยไม่คืนที่ดินให้โจทก์ โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาจำเลยฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 150 ตำบลมะขามสูง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกให้แก่จำเลย หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์นั้น เห็นว่า เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมแต่อย่างใดต่อจำเลย เป็นเรื่องจำเลยต้องไปดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในนามของจำเลยเอง”
พิพากษากลับ จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้ยกคำขออื่นตามฟ้องแย้งจำเลย และให้ยกฟ้องโจทก์

Share