แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้จัดการมรดกได้แบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทเสร็จสิ้นแล้วผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมจะต้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกโดยอ้างว่าผู้จัดการมรดกละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางประยูร พันธุฟัก ผู้ตายเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2519
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2529ว่าผู้ร้องละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ผู้จัดการมรดกไม่ยื่นบัญชีทรัพย์มรดกตามกฎหมาย ผู้ร้องโอนทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นของผู้คัดค้านตามพินัยกรรมเป็นของผู้ร้อง และขายทรัพย์มรดกส่วนดังกล่าวไปโดยมิใช่การเร่งด่วนและจำเป็นและผู้ร้องไม่แบ่งปันเงินมรดกที่ถอนจากธนาคารให้ผู้คัดค้าน ผู้ร้องบังคับให้ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับพี่สะใภ้ของผู้คัดค้านเพื่อให้ผู้คัดค้านบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส เพื่อผู้ร้องจะได้ทะเบียนสมรสของผู้คัดค้านไปจดทะเบียนโอนที่ดิน การจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะการจดทะเบียนโอนที่ดินของผู้คัดค้านจึงเป็นโมฆะ ผู้ร้องไม่ยอมจดทะเบียนที่ดินตามพินัยกรรมคืนให้ผู้คัดค้าน ขอให้เพิกถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องให้การว่า ขณะศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมคนหนึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้อง แต่ผู้คัดค้านไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน หลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับผู้มีชื่อแล้ว ผู้ร้องได้จดทะเบียนโอนที่ดินและแบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรมที่ผู้คัดค้านมีสิทธิได้รับให้ผู้คัดค้านจนครบถ้วนแล้ว การแบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้ผู้คัดค้านได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้คัดค้านได้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ที่ได้รับตามพินัยกรรมและนำเงินไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย จึงไม่มีสิทธิมาร้องคัดค้านคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ผู้รับพินัยกรรมเสร็จสิ้นไปแล้ว หากผู้คัดค้านมิได้รับส่วนแบ่งของตนอย่างไร ก็ชอบที่จะดำเนินคดีภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายต่อไป จะขอเพิกถอนผู้จัดการมรดกและตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกหาได้ไม่ พิพากษายกคำร้อง ของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นบุตรของพันเอกดรุณ พันธุฟักแต่ต่างมารดากันนางประยูร พันธุฟัก ผู้ตายเป็นพี่สาวของพันเอกดรุณ พันธุฟัก ได้รับผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ผู้ตายถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม2519 ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ผู้ร้องผู้คัดค้านและทายาทอื่นหลายคน ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.ค.1 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2519ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางประยูรผู้ตาย มีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงว่าผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้แบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของผู้ตายเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่
ผู้คัดค้านนำสืบว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลตามกฎหมาย ขณะที่ผู้คัดค้านได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของผู้ตาย ผู้คัดค้านยังเป็นผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้อง ผู้ร้องได้ข่มขู่ให้ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับนางนริสา พันธุฟัก ภริยา ร้อยตำรวจโทธรรมรัตน์ พันธุฟัก พี่ชายผู้ร้องและผู้คัดค้าน โดยมารดาผู้ร้องเป็นผู้ให้ความยินยอม ทำให้ผู้คัดค้านบรรลุนิติภาวะโดยการสมรสตามเอกสารหมาย ร.ค.15 เพื่อผู้ร้องจะได้ใช้เป็นหลักฐานในการโอนขายทรัพย์มรดกที่ผู้คัดค้านได้รับตามพินัยกรรม หลังจากนั้นผู้คัดค้านก็ได้จดทะเบียนหย่ากันตามเอกสารหมาย ร.ค.17 ผู้ร้องแบ่งทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้ผู้คัดค้านไม่ถูกต้องตามส่วนที่ผู้คัดค้านมีสิทธิได้รับ ที่ดินหลายโฉนดที่ผู้คัดค้านได้รับตามพินัยกรรมร่วมกับผู้ร้องและนายธรรมบัณฑิต พันธุฟัก ผู้ร้องได้โอนขายให้บุคคลอื่นโดยผู้คัดค้านมิได้รับเงินตามส่วน บางโฉนดผู้ร้องได้โอนใส่ชื่อภริยาผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่อีกหลายโฉนดผู้คัดค้านก็ได้รับโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านแล้วหุ้นหลายบริษัทผู้ร้องไม่โอนให้ผู้คัดค้าน ผู้ร้องและร้อยตำรวจโทธรรมรัตน์เคยขู่จะทำร้ายผู้คัดค้าน ผู้ร้องมิได้ส่งเสียให้ผู้คัดค้านศึกษาเล่าเรียนถึงขั้นมหาวิทยาลัยตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ผู้คัดค้านได้แยกบ้านจากผู้ร้องเมื่อ พ.ศ. 2529
ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้คัดค้านมีความประพฤติไม่เรียบร้อย ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับนางนริสาเองโดยผู้ร้องมิได้บังคับ หลังจากนั้นผู้คัดค้านได้นำหลักฐานทะเบียนสมรสมาแสดงแก่ผู้ร้อง ขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้ผู้คัดค้านตามพินัยกรรม ทายาทตามพินัยกรรมของนางประยูร ต่างทราบพินัยกรรมดีทุกคน ผู้ร้องจึงไม่จำเป็นต้องทำบัญชีทรัพย์มรดกผู้ร้องได้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้แก่ทายาทตั้งแต่ พ.ศ. 2521 จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2529 สำหรับที่ดิน 6 โฉนด ที่พินัยกรรมระบุยกให้ผู้คัดค้านคนเดียวก็ได้จัดการโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้คัดค้านไปแล้ว ตามที่ผู้คัดค้านเบิกความยอมรับ ส่วนที่ดินอีก 6 โฉนด ที่พินัยกรรมระบุยกให้ผู้คัดค้าน ผู้ร้อง และทายาทอีกคนหนึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันผู้ร้องก็ได้จัดการจดทะเบียนโอนให้ผู้คัดค้านตามส่วน และผู้คัดค้านได้ยินยอมให้ผู้ร้องขายที่ดินทั้ง 6 โฉนดให้ผู้ร้องเองและบุคคลอื่นโดยผู้คัดค้านลงชื่อในสัญญาซื้อขายด้วย รวม 5 โฉนดตามเอกสารหมาย ร.ค.6, ร.ค.8, ร.ค.11, ร.ค.12 และได้แบ่งเงินให้ผู้คัดค้านแล้ว ส่วนหุ้นของบริษัทต่าง ๆ รวม 5 บริษัท ผู้ร้องได้จัดการแบ่งให้ผู้คัดค้านตามพินัยกรรมไปแล้ว ส่วนเงินในธนาคารมีเพียง 7,000 บาทเศษ ผู้ร้องได้ถอนแบ่งให้ผู้คัดค้านเสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ร้องได้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้แก่ทายาทเสร็จสิ้นลงแล้ว ไม่มีมรดกที่จะต้องจัดการต่อไป
พิเคราะห์แล้ว ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกลงวันที่ 21 มีนาคม2516 เอกสารหมาย ร.ค.1 เจ้ามรดกยกทรัพย์สินให้ผู้คัดค้านคือหมายเลข 1.16-1.21 เป็นที่ดิน หมายเลข 1.22 เป็นที่ดินและตึกแถวหลังเลขที่ 369 หมายเลข 1.23 เป็นที่ดินและตึกแถว หมายเลข1.24 เป็นหุ้นหมายเลข 1.25 เป็นที่ดินอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี หมายเลข 1.32 เป็นที่ดินหรือทรัพย์สินที่ไม่ได้ระบุในพินัยกรรม หมายเลข 1.35 เป็นผลประโยชน์ที่เหลือจากที่ฝากไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย ผู้คัดค้านนำสืบว่าทรัพย์สินที่ผู้ร้องยังไม่ได้แบ่งให้ผู้คัดค้าน คือ 1. หมายเลข1.22 ตึกแถวห้องเลขที่ 369 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 158072. หมายเลข 1.23 ตึกแถวและที่ดินโฉนดเลขที่ 2013, 5566 และ 55703. หมายเลข 1.35 บรรดาผลประโยชน์ที่เหลือจากใช้ซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย 4. หมายเลข 1.25 ที่ดินอำเภอชะอำโฉนดเลขที่ 6340 และ 6014 ฝ่ายผู้ร้องนำสืบว่าทรัพย์หมายเลข 1.22 ตึกแถวห้องเลขที่ 369 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่15807 ขายให้แก่บริษัททองธนาทรัสต์ จำกัด ในราคา930,000 บาท ให้นายหน้า 30,000 บาท แบ่งให้ผู้คัดค้านกับนายธรรมบัณฑิตคนละ 300,000 บาท ไปแล้ว ทรัพย์หมายเลข 1.23ที่ดินโฉนดเลขที่ 2013 ผู้ร้องได้ตกลงซื้อจากผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านได้รับเงินไปแล้ว ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.ค.14 ทรัพย์หมายเลข1.23 ที่ดินโฉนดเลขที่ 5566 ผู้ร้องโอนให้แก่ทายาททั้ง 3 คนส่วนของนายธรรมบัณฑิตกับผู้คัดค้านได้โอนให้แก่ผู้ที่อยู่อาศัยปรากฏตามเอกสารหมาย ร.16 ทรัพย์หมายเลข 1.23 ที่ดินโฉนดเลขที่ 5570 ทายาททั้ง 3 คนตกลงขายให้แก่คนที่อยู่ ผู้คัดค้านได้ลงชื่อไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.15 ทรัพย์หมายเลข 1.25ที่ดินอำเภอชะอำ โฉนดเลขที่ 6340 และ 6014 ส่วนของนายธรรมบัณฑิตกับผู้คัดค้านขายให้ผู้ร้องโดยใส่ชื่อนางสุมาลีไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.ค.6 และ ร.ค.7ทรัพย์หมายเลข 1.35 เงินสดในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดนางประยูรเจ้ามรดกมีเงินฝาก 7,000 บาท ผู้คัดค้านและนายธรรมบัณฑิตตกลงให้ผู้ร้องเป็นคนถอนเงินแล้วแบ่งกันที่ธนาคารนั้นเอง ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.7 ศาลฎีกาเห็นว่าทรัพย์พิพาทรายแรก คือที่ดินโฉนดเลขที่ 15807 ผู้ร้องมีนางประเดิม สุริยะโยธิน ซึ่งเป็นน้าของผู้คัดค้านด้วยมาเบิกความว่าพยานเป็นนายหน้าขายที่ดินรายนี้ และได้รับเงินค่านายหน้าจากผู้คัดค้านแล้ว นางประเดิมเป็นพยานคนกลางและเป็นญาติกับทั้งสองฝ่าย น่าเชื่อว่าเบิกความตามที่รู้เห็นจริง จึงเชื่อว่าทรัพย์รายแรกนี้ได้แบ่งปันกันไปเสร็จสิ้นระหว่างทายาทเพราะแม้แต่นายหน้าก็ได้รับส่วนแบ่งค่านายหน้าจากผู้คัดค้านไปแล้วทรัพย์พิพาทรายที่สองมี 3 โฉนด ที่ดินโฉนดเลขที่ 2013 ผู้คัดค้านและนายธรรมบัณฑิตซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของในโฉนดดังกล่าวได้ขายผู้ร้องแล้วปรากฏตามเอกสารหมาย ร.3 โฉนดเลขที่ 5566 ผู้คัดค้านกับนายธรรมบัณฑิตซึ่งมีชื่อเป็นผู้ขายในหนังสือสัญญาขายที่ดินได้โอนให้แก่นายสุวิทย์ เจริญผาสุขชื่น กับพวกไปแล้วตามเอกสารหมาย ร.16 โฉนดเลขที่ 5570 ผู้ร้อง ผู้คัดค้านและนายธรรมบัณฑิตซึ่งมีชื่อเป็นผู้ขายในหนังสือสัญญาขายที่ดินได้โอนให้แก่นางสาวดารารัตน์ เรืองธรรม กับพวก ไปแล้วตามเอกสารหมาย ร.15 จึงฟังได้ว่าทรัพย์พิพาทหมายเลขสองได้แบ่งปันกันเสร็จแล้ว ทรัพย์พิพาทรายที่สามมี 2 โฉนด ที่ดินโฉนดเลขที่6340 และ 6014 นายธรรมบัณฑิต ผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งมีชื่อเป็นผู้ขายในหนังสือสัญญาขายที่ดินได้โอนให้แก่นางสุมาลีตามเอกสารหมาย ร.ค.6 เมื่อผู้คัดค้านได้รับโอนที่ดินที่เป็นทรัพย์พิพาททั้งหมด จึงฟังได้ว่าผู้ร้องได้แบ่งปันทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านแล้ว ทรัพย์พิพาทรายที่สี่เป็นเงินฝากในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.7ว่าเป็นเงิน 5,452.58 บาท และ 1,659.63 บาท ซึ่งรวมแล้วเป็นเงิน7,112.21 บาท ผู้ร้องนำสืบว่าได้แบ่งกันที่ธนาคารในวันที่ 18มิถุนายน 2522 แล้ว ผู้ร้องคัดค้านอ้างลอย ๆ ว่ายังไม่ได้แบ่งเห็นว่า จำนวนเงินส่วนแบ่งดังกล่าวเป็นเงินเล็กน้อย เมื่อทรัพย์สินมีราคามากอื่น ๆ ได้แบ่งกันแล้ว และผู้ร้องจัดการมรดกตั้งแต่ พ.ศ. 2519 จนถึงเวลาผู้คัดค้านร้องคัดค้านเมื่อพ.ศ. 2529 เป็นเวลาประมาณ 10 ปี น่าเชื่อว่าเงินส่วนนี้ได้แบ่งปันกันไปแล้ว สำหรับที่ผู้คัดค้านอ้างในฎีกาว่า ทรัพย์ตามพินัยกรรมหมายเลข 1.26 ผู้ร้องยังมิได้โอนให้วัดประยูรธรรมารามนั้น เห็นว่าสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 544/2531 ของศาลจังหวัดธัญบุรีที่ผู้คัดค้านอ้างมานั้น เป็นเรื่องที่วัดประยูรธรรมาราม ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลเพราะโฉนดที่นางประยูรและทายาทมอบให้และจัดทำใบมอบอำนาจให้วัดแล้วนั้นหายไป หาใช่เรื่องที่ผู้ร้องยังมิได้จัดการมรดกให้เสร็จสิ้นตามที่โต้แย้งกันไม่ คดีจึงฟังได้ว่าผู้จัดการมรดกได้แบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทอันเป็นการจัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ผู้คัดค้านจะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่ามีการขายทรัพย์พิพาทแล้วยังไม่ได้แบ่งเงินให้แก่ผู้คัดค้านนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน หาเป็นเหตุให้การจัดการมรดกไม่เสร็จสิ้นไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกคำร้อง ของ ผู้คัดค้านจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ