คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดในฐานที่เป็นทรัพย์สินของจำเลย โดยผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์สินดังกล่าวร่วมกับจำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านหรือขอใช้สิทธิอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. ส่วนผู้ร้องก็เพียงแต่ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในเงินที่ขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นในฐานเจ้าหนี้บุริมสิทธิเท่านั้น ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว สำหรับเงินส่วนที่เหลือผู้ร้องเจ้าหนี้ของจำเลยในคดีหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีนี้มิได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 290 ดังนั้นเมื่อไม่มีเจ้าหนี้รายอื่นมายื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็ชอบที่จะต้องจ่ายเงินสุทธิที่หักจากหนี้บุริมสิทธิแล้วให้แก่โจทก์ไปตามที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับเต็มจำนวน ผู้ร้องจะมายื่นคำแถลงคัดค้านขอให้งดการจ่ายเงินที่เหลือทั้งหมดให้แก่โจทก์โดยอ้างเหตุว่าขอยึดไว้ในคดีอื่นหาได้ไม่.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 185,248 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยผิดนัด โจทก์บังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 34พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีชื่อนางสาคร ภริยาจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ขายทอดตลาดได้เงิน 450,000 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิไปจำนวน 169,647.67 บาท ศาลอนุญาตและเมื่อหักค่าธรรมเนียมการขาย ค่าป่วยการเจ้าพนักงานแล้ว คงเหลือเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดจำนวน 257,802.33 บาท
โจทก์ยื่นคำแถลง ขอรับเงินส่วนที่เหลือดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งให้จัดทำบัญชีและคำนวณจ่ายให้
ผู้ร้องยื่นคำแถลงคัดค้านว่าทรัพย์ที่ขายเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาครมิใช่ของจำเลย เงินส่วนที่เหลือจะต้องตกเป็นของกองมรดกของนางสาคร ซึ่งผู้ร้องยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวนนี้ไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 757/2529 แล้ว จึงขอให้ศาลชั้นต้นระงับการจ่ายเงินแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม
โจทก์ยื่นคำแถลงว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้อื่น ผู้ร้องไม่มีสิทธิในเงินส่วนที่คงเหลืออยู่
ในวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นได้ตรวจคำร้องคำแถลงต่าง ๆ เห็นว่าโจทก์และผู้ร้องต่างยอมรับข้อเท็จจริงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 34เป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยกับนางสาคร ดังนั้น เงินที่ได้จากการขายทอดตลาด เมื่อนำไปชำระหนี้จำนองให้ผู้ร้องแล้ว คงเหลือเท่าใดย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของจำเลยกับนางสาคร โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จำเลยเฉพาะตัวชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากเงินที่เหลือเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาจากส่วนของนางสาวสาครซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ ด้วยเหตุนี้จึงให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จ่ายเงินแก่โจทก์เสีย โดยเปลี่ยนเป็นอนุญาตให้โจทก์บังคับเอาเฉพาะจากเงินครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เหลือจากการชำระหนี้บุริมสิทธิ์แก่ผ้ร้องแล้วเท่านั้น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นจ่ายเงินคงเหลือสุทธิที่หักจากหนี้บุริมสิทธิแล้วแก่โจทก์ไป ตามส่วน(ที่ถูกตามสิทธิ) ที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับเต็มจำนวน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์นำยึกที่ดินโฉนดเลขที่ 34พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาขายทอดตลาดก็ในฐานที่เป็นทรัพย์สินของจำเลยโดยกองมรดกของนางสาครผู้ตายมิได้ยื่นคำคัดค้านหรือขอใช้สิทธิอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งส่วนผู้ร้องก็เพียงแต่ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในเงินที่ขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นในฐานเจ้าหนี้บุริมสิทธิเท่านั้น ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว สำหรับเงินส่วนที่เหลือ ผู้ร้องเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 757/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยคดีนี้ มิได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ดังนั้น เมื่อไม่มีเจ้าหนี้รายอื่นมายื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้วก็ชอบที่จะต้องจ่ายเงินสุทธิที่หักจากหนี้บุริมสิทธิแล้วให้แก่โจทก์ไปตามที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับเต็มจำนวนผู้ร้องจะมายื่นคำแถลงคัดค้านขอให้งดการจ่ายเงินที่เหลือทั้งหมดให้แก่โจทก์โดยอ้างเหตุว่าขอยึดไว้ในคดีอื่นหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share