แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. พยานโจทก์เบิกความว่า พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำผิดภรรยาของผู้เสียหายบังคับให้พยานไปให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าพยานกับจำเลยเป็นผู้กระทำผิด พยานจึงให้การไปเช่นนั้น โดยพนักงานสอบสวนรับว่าจะกันพยานไว้เป็นพยาน ขณะเกิดเหตุพยานเป็นลูกจ้าง ผู้เสียหายและ ร. พี่สาวผู้เสียหายเป็นผู้พาพยานไปให้การต่อพนักงานสอบสวนจึงเป็นไปได้ว่าพยานอาจถูกบังคับให้ไปให้การจริง คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจึงไม่น่าเชื่อถือ ส่วนคำเบิกความในชั้นศาลนั้นพยานเบิกความหลังจากลาออกจากงานที่อู่ของผู้เสียหายแล้วฝ่ายผู้เสียหายจึงไม่อาจบังคับพยานได้อีกต่อไป น่าเชื่อว่าพยานได้เบิกความไปตามความจริง คำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนัก คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลย เป็นเพียงพยานบอกเล่าเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ลำพังแต่เพียงคำให้การรับสารภาพดังกล่าว ไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลบยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจุบกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าวันเกิดเหตุมีผู้ใช้แก๊สดัดเหล็กดัดทำลายเหล็กยึดโครงแม่แบบสำหรับต่อตัวถังรถยนต์แวนของผู้เสียหาย เป็นเหตุให้โครงแม่แบบเสียหายใช้การไม่ได้ มีปัญหาว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสุชาติ โพธิพิพิธ เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความว่าพยานไม่ทราบว่าใครเป็นคนตัดเหล็กยึดโครงแม่แบบของอู่เจริญชัยภรรยาขจองเถ้าแก่ของอู่บังคับให้พยานไปให้การพนักงานสอบสวนว่าพยานกับจำเลยเป็นดัดเหล็กยึดโครงแม่แบบ พยานจึงไปให้การเช่นนั้นโดยพนักงานสอบสวนรับว่าจะกันพยานไว้เป็นพยาน ศาลฎีกาเห็นว่าขณะเกิดเหตุพยานเป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย ทั้งได้ความจากพยานว่านางรัตติยาพี่สาวผู้เสียหายเป็นผู้พาพยานไปให้การต่อพนักงานสอบสวนจึงมีทางเป็นไปได้ว่าพยานอาจถูกบังคับให้ไปให้การจริง คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริง ส่วนคำเบิกความของพยานนั้น พยานมาเบิกความหลังจากลาออกจากงานที่อู่ของผู้เสียหายแล้ว ทางฝ่ายผู้เสียหายจึงไม่อาจบังคับพยานได้อีกต่อไป จึงน่าเชื่อว่าพยานได้เบิกความไปตามความเป็นจริง คำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าพยานไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ตัดเหล็กยึดโครงแม่แบบของผู้เสียหาย ส่วนข้อที่โจทก์นำสืบว่าชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.2 นั้น จำเลยก็นำสืบโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยลงชขื่อในบันทึกโดยไม่ได้อ่านให้จำเลยฟัง อย่างไรก็ตามคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนลำพังแต่เพียงคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลย จึงไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้อง”
พิพากษายืน.