แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยไม่มีข้อใดที่แสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ละเมิดต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้เป็นไปตามคำท้า อันจะเป็นเหตุให้ฎีกาได้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตาม ประเด็นที่คู่ความตกลงท้ากัน และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ ศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือเป็นไปโดยไม่ชอบแล้ว จำเลย จะฎีกาโต้เถียงเพียงแต่ขอให้ลดจำนวนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดู ไม่ได้ ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง การเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลทันทีนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด และพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 20 ก็ได้บัญญัติให้ผู้ที่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องมาให้บันทึกในทะเบียนได้ จึงไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรของจำเลยและให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระเงิน 3,000 บาท ต่อเดือนแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะหรือจบการศึกษาชั้นสูงสุด
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า เด็กหญิง ภ.โจทก์เป็นบุตรของจำเลยให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระเงิน 3,000 บาท ต่อเดือนแก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า เด็กหญิง ภ. โจทก์จะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรของจำเลยให้จำเลยชำระเงิน 3,000 บาท ต่อเดือนแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 สิงหาคม 2540) เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะโดยเป็นการพิพากษาคดีไปตามที่คู่ความตกลงท้ากัน จำเลยฎีกาว่า ขอให้แก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 2,000 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะ โดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าจำเลยขัดข้องมีเงินไม่พอจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ให้เพียงพอตามคำท้าในขณะนี้เท่านั้นข้ออ้างในฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้ออ้างใดที่แสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้เป็นไปตามคำท้า อันเป็นเหตุที่จะฎีกาได้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่คู่ความตกลงท้ากันและไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือเป็นไปโดยมิชอบแล้วจำเลยจะฎีกาโต้เถียงเพียงแต่ขอให้ลดจำนวนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูหาได้ไม่ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
อนึ่ง การเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลทันทีนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดจึงไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตรทั้งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478มาตรา 20 บัญญัติว่าเมื่อศาลได้พิพากษาว่าผู้ใดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้มีส่วนได้เสียจะยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้วมาให้บันทึกในทะเบียนก็ได้ศาลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยสั่งคำขอในส่วนนี้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฎีกาจำเลย และให้ยกคำขอในส่วนที่บังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตร หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาเป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1