คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3316/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดกด้วยกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก จำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดก และโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทน กรณีจึงมิใช่เรื่องโจทก์เรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองเป็นชื่อโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนางไวย์แต่เป็นของจำเลยโดยนางไวย์ยกให้ จำเลยจึงขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นของตน มิใช่ออกแทนนางไวย์ โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่ นางไวย์ ถึงแก่กรรมเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางไวย์เมื่อนางไวย์ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์โดยมีจำเลยเป็นผู้ครอบครองแทน แต่จำเลยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตั้งแต่ปี 2534 โจทก์มาฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเกินกำหนด 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 620 ตำบลตั้งใจ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ บุตรชาติ เป็นชื่อของโจทก์ภายใน 7 วัน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยโจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ บุตรชาติโดยมีชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นผู้ครอบครองแทนที่ดินพิพาทจึงตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย คำว่า คดีมรดกหมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดกด้วยกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดกนั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทนกรณีมิใช่เรื่องเรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์อายุความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีนี้ได้”
พิพากษายืน

Share