คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2090/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางตามฟ้องเป็นของจำเลยหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครอง ศาลฎีกา ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แต่อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีไว้เป็นความผิดซึ่ง ต้องริบเสียทั้งสิ้น ศาลจึงมีอำนาจริบได้ ไม่ว่าจำเลยจะถูกลงโทษหรือไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 เวลากลางวันจำเลยมีอาวุธปืนยาวลูกวอง แฝด ขนาด 12 ไม่มีเครื่องหมายนายทะเบียนประทับ 1 กระบอกไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และมีอาวุธปืนยาวคาร์ไบน์ ขนาด .30 จำนวน1 กระบอก ลูกกระสุนปืนคาร์ไบน์ ขนาด .30 จำนวน 18 นัดซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้และซองกระสุนปืนคาร์ไบน์ขนาด .30 จำนวน 1 ซอง ไว้ในครอบครอง เจ้าพนักงานยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวได้เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 55, 72, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 90 และสั่งริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 55, 72 วรรคหนึ่ง,78 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี และฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 7 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุร้อยตำรวจเอกจเรกับพวกตรวจค้นพบอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนของกลางอยู่ภายในห้องนอนของบ้านจำเลย สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษา จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองหรือไม่เห็นว่าขณะร้อยตำรวจเอกจเรและสิบตำรวจเอกเชาว์เข้าตรวจค้นบ้านจำเลยพบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางในห้องนอนดังกล่าวนั้น จำเลยไม่ได้อยู่ในบ้านเกิดเหตุ คงได้ความจากคำเบิกความของสิบตำรวจเอกเชาว์พยานโจทก์แต่เพียงว่าในวันเกิดเหตุพยานกับเจ้าพนักงานตำรวจนำรถยนต์ไปจอดอยู่ข้างบ้านจำเลย ต่อมาประมาณ 30 นาที มีชายคนหนึ่งขับรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าสีเขียว จำหมายเลขทะเบียนไม่ได้ออกจากบ้านจำเลยแต่พยานเห็นไม่ชัดเจน เมื่อสิบตำรวจเอกเชาว์พยานโจทก์ไม่เบิกความยืนยันว่า ชายที่ขับรถยนต์ออกจากบ้านเกิดเหตุเป็นจำเลยพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน้อย ประกอบกับหลังจากจำเลยทราบว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดคดีนี้ จำเลยก็เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและให้การปฏิเสธตั้งแต่แรกว่า จำเลยทะเลาะกับนางแสงหล้าภรรยาเนื่องจากจำเลยได้นางอำพรเป็นภรรยาน้อยแล้วไปอยู่กินด้วยกัน ซึ่งนางอำพรได้เบิกความสอดคล้องตรงกันและได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกจเรพยานโจทก์ว่าขณะพยานสอบถามนางแสงหล้ามีอาการกลัวและสั่น นางแสงหล้าบอกพยานว่าบ้านเกิดเหตุเป็นของนางแสงหล้าและจำเลยทั้งได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกจเรพยานโจทก์ต่อไปอีกว่า ขณะพยานและเจ้าพนักงานตำรวจกำลังตรวจค้นบริเวณห้องโถงนางแสงหล้าอาศัยความชุลมุนหลบหนีออกจากบ้านไปซึ่งเป็นพิรุธอย่างยิ่ง นอกจากนี้ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทจารึก ปลั่งดี พนักงานสอบสวนว่าพยานไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยได้ให้เพื่อนที่ทำไม้ด้วยกันพักอาศัยอยู่ ส่วนจำเลยมีภรรยาน้อยอยู่ที่บ้านวังผาซึ่งเจือสมข้อต่อสู้จำเลยให้มีน้ำหนักรับฟังมากขึ้นเมื่อได้ความว่าจำเลยมิได้อยู่ในบ้านเกิดเหตุและมีผู้อื่นมาอยู่ในบ้านแทนจำเลยแล้ว ทั้งโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลยหรือไม่ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองและเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แต่อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า มีไว้เป็นความผิดซึ่งต้องริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจำเลยจะถูกลงโทษหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง

Share