คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1597/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันที่จำเลยจดทะเบียนจำนองทรัพย์พิพาทไว้แก่ผู้ร้องส. มีหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องอยู่ก่อนแล้ว ดังนี้แม้ ส. จะขอต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไปโดยมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดก็ตาม แต่หลังจากครบกำหนดดังกล่าวแล้วผู้ร้องและ ส. ยังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ทั้งปรากฏว่าผู้ร้องยังมิได้บอกเลิกสัญญาและยังให้บัญชีเดินสะพัดเดินต่อไป จึงเห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัดเมื่อหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่าง ส. กับผู้ร้องยังไม่ถึงกำหนดชำระ ผู้ร้องจึงไม่อาจอาศัยอำนาจแห่งการจำนอง บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจาก โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินซึ่งเป็นของจำเลยเพื่อนำออกขายทอดตลาด ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2529จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับผู้ร้องเพื่อประกันหนี้ของนางเสงี่ยม บัวสกุล และของจำเลยเป็นเงิน100,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และในวันเดียวกันนางเสงี่ยม ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องจำนวน50,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดเวลาชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนภายใน 12 เดือน หลังจากนั้นนางเสงี่ยมได้นำเงินเข้าและถอนเงินจากบัญชีหักทอนกับผู้ร้องเรื่อยมาจนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 เมื่อนางเสงี่ยมนำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้แก่ผู้ร้องและหักทอนบัญชีกันแล้ว นางเสงี่ยมยังคงเป็นหนี้ผู้ร้องจำนวน 52,583.70 บาท และไม่ชำระหนี้อีกเลยผู้ร้องคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันยื่นคำร้อง ปรากฏว่านางเสงี่ยมเป็นหนี้ผู้ร้องจำนวน 78,609.61 บาท โดยคิดดอกเบี้ยอัตราไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในต้นเงิน 78,609.61 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
โจทก์และจำเลยไม่ค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องฎีกาประเด็นแรกว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างผู้ร้องกับนางเสงี่ยม ระงับไปแล้วด้วยความตายของนางเสงี่ยมเพราะเป็นสัญญาที่อาศัยความไว้วางใจเฉพาะบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่า หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างนางเสงี่ยมกับผู้ร้องถึงกำหนดชำระแล้วหรือไม่ คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า ในวันที่จำเลยจดทะเบียนจำนองนางเสงี่ยมมีหนี้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องอยู่ก่อนแล้วและมีการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีออกไปอีกมีกำหนด 12 เดือนตามเอกสารหมาย ร.4 เมื่อครบกำหนดในสัญญานางเสงี่ยมกับผู้ร้องยังมีการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปอีกโดยฝ่ายผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญา เมื่อเป็นหนี้จำนวนมากขึ้นผู้ร้องก็เพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้นางเสงี่ยมนำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องเท่านั้นมิได้มีการบอกเลิกสัญญา คงมีแต่นางเสงี่ยมขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.12โดยฝ่ายผู้ร้องยังคงคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมา ปัจจุบันผู้ร้องยังมิได้บอกเลิกสัญญากับนางเสงี่ยมและยังให้บัญชีเดินสะพัดต่อไป เห็นว่าแม้นางเสงี่ยมจะขอต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไป12 เดือน ตามเอกสารหมาย ร.12 ซึ่งตามปกติจะครบกำหนดสัญญาในวันที่ 26 มิถุนายน 2536 แต่หลังจากสัญญาครบกำหนดดังกล่าวแล้วผู้ร้องและนางเสงี่ยมยังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป จึงเห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัด หนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างนางเสงี่ยมกับผู้ร้องจึงยังไม่ถึงกำหนดชำระ เมื่อหนี้ที่นางเสงี่ยมจะต้องรับผิดชำระแก่ผู้ร้องยังไม่ถึงกำหนดชำระ ผู้ร้องจะอาศัยอำนาจแห่งการจำนองบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 หาได้ไม่
พิพากษายืน

Share