คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317เพื่อเอาโทษแก่ผู้ที่พรากเด็ก แม้เด็กเต็มใจไปด้วยการพรากเด็กตามมาตรานี้มิได้จำกัดว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใด ถ้าเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีแล้วย่อมเป็นความผิดแม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต มีความรู้สึกผิดชอบเกินกว่า ปกติก็ตาม และการพรากก็มิได้จำกัดว่าพรากไปเพื่อประสงค์ใด หรือประโยชน์อย่างใดเพียงแต่มีเจตนาพรากเด็กไปเสียจาก บิดามารดาก็เป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าจำเลยพรากเด็กไปโดยมีเหตุอันสมควรก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้ ปรากฏว่าผู้เสียหายกำลังศึกษาเล่าเรียนยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพราก ผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาขณะที่บิดามารดาจำต้อง อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่าง ที่เป็นผู้เยาว์และมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรอันเป็นสิทธิ และหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การกระทำของจำเลยจึงปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก แต่เมื่อจำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจ ต่างมีเจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและศาลมีคำสั่ง อนุญาตให้สมรสและมีบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลย ขาดเจตนากระทำเพื่อการอนาจาร จึงไม่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 19 ปี 3 วัน ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 กระทงละหนึ่งในสามฐานกระทำชำเรา จำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 7 ปี 4 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ส่วนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ว่า ตามสูติบัตรเอกสารหมาย จ.1 เด็กหญิงนิตยา พรมดี เกิดวันที่ 9 มกราคม 2526 อายุ 13 ปี 8 เดือน และรับว่ามีจิตใจรักจำเลย เมื่อจำเลยชวนไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาจึงตกลงยินยอมและเอาเสื้อผ้าไปอยู่ด้วยกัน นายจันทร์เพ็ญบิดาของเด็กหญิงนิตยาไม่ประสงค์ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากับจำเลย ต่อมาในระหว่างพิจารณาคดีของศาลฎีกา ศาลจังหวัดมุกดาหารมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยและเด็กหญิงนิตยา พรมดี สมรสกัน และมีบุตรชาย 1 คน บิดามารดาของเด็กหญิงนิตยายินยอมให้ทำการสมรส ปรากฏตามคำสั่งศาลจังหวัดมุกดาหาร ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2541 และใบสำคัญการสมรสลงวันที่ 8 ธันวาคม 2541 คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันที่ศาลชั้นต้นลงโทษทุกกรรม ซึ่งประมวลกฎหมายอาญามีบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับเพศที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคแรกนั้นมาตรา 277 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกถ้าเป็นการกระทำที่ชายกระทำกับเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและหญิงนั้นสมรสกัน ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษถ้าศาลอนุญาตให้สมรสในระหว่างที่ผู้กระทำผิดกำลังรับโทษในความผิดนั้นอยู่ ให้ศาลปล่อยผู้กระทำความผิดนั้นไป”ที่โจทก์ฟ้องอ้างมาตราในกฎหมายขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยชี้ขาดพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 277 วรรคแรก จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามที่มาตรา 277 วรรคท้าย ได้บัญญัติไว้ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 บัญญัติว่า “ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดีคดีขาดอายุความแล้วก็ดีมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป” จำเลยแก้ฎีกาว่ามีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษในมาตรา 277 วรรคแรกศาลฎีกาจึงต้องยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามมาตรา 277 วรรคแรกคดีมีปัญหาวินิจฉัยความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง ซึ่งความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา 317 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยนั้นเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ตามมาตรา 317 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุก” และวรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจารผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก”ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า พราก หมายความว่า แยกออกจากกันอนาจาร หมายความว่า ความประพฤติชั่ว ความประพฤติน่าอับอายความประพฤตินอกรีตนอกแบบทำให้เป็นที่อับอายเป็นที่น่ารังเกียจแก่ผู้อื่นในด้านความดีงาม นั้น เห็นว่า ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียงที่จะวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ กฎหมายให้ศาลใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงและบัญญัติว่าอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นความมุ่งหมายของมาตรา 317 เพื่อเอาโทษแก่ผู้ที่พรากเด็กแม้เด็กเต็มใจไปด้วย การพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาไปตามความในมาตรานี้มิได้จำกัดไว้ว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใด ถ้าเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีแล้วย่อมเป็นความผิด แม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โตมีความรู้สึกผิดชอบเกินกว่าปกติก็ตาม การพรากก็มิได้จำกัดว่าพรากไปเพื่อประสงค์ใดหรือประโยชน์อย่างใดเพียงแต่มีเจตนาพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาก็เป็นความผิดแล้วกรณีของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ถ้าจำเลยพรากเด็กไปโดยมีเหตุอันสมควรแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้ กรณีจะถือว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้เสียหายกำลังศึกษาเล่าเรียนยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาการที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาขณะที่บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์และมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรอันเป็นสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การกระทำของจำเลยจึงปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก แต่ข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาฟังได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมีเจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สมรสและมีบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลยขาดเจตนากระทำเพื่อการอนาจารจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 นั้นไม่ถูกต้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก จำเลยอายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 2 ปี จำเลยเข้ามอบตัวและรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนตลอดจนชั้นพิจารณาคดีของศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุสติปัญญา ประกอบกับจำเลยถูกคุมขังมาบ้างแล้ว ภาวะแห่งจิตที่มีบุตร 1 คน อันควรปรานี สมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก

Share