คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พิพากษายืนตาม พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน2 แปลงที่พิพาทกันให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หรือให้จำเลยใช้เงินค่าที่ดินแก่โจทก์ในส่วนที่จำเลยไม่สามารถโอนคืนแก่โจทก์ได้นั้น เป็นเรื่องที่กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับในคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ตามอำเภอใจ เมื่อข้ออ้างที่จำเลยไม่ยอมโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ไม่ใช่เหตุพ้นวิสัย จำเลยจึงไม่มีสิทธิชดใช้ราคาที่ดินพิพาทแทน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่ดินแทนการที่จำเลยจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ก่อน โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยจนทำให้จำเลยไม่สามารถโอนได้นั้น คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่สั่งไปโดยผิดหลง เป็นคำสั่งไม่ชอบและเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาลเห็นสมควรย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียทั้งหมดหรือบางส่วนได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 การที่ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ได้ ส่งสำเนาคำร้องของ โจทก์ให้จำเลยทราบ จึงชอบด้วย กระบวนพิจารณาแล้วไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3077 เนื้อที่ 49 ตารางวา (ส่วนที่ระบายด้วยสีเหลืองเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6) และที่ดินโฉนดเลขที่ 48670เนื้อที่ 29 ตารางวา ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมค่าภาษีและค่าใช้จ่ายในการโอน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หรือให้จำเลยใช้เงินค่าที่ดินแก่โจทก์ตารางวาละ 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี ของเงินค่าที่ดินส่วนที่จำเลยไม่สามารถโอนคืนแก่โจทก์ได้นับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2533 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จต่อมาจำเลยขอใช้ค่าที่ดินแทนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ โจทก์ยอมรับชำระค่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3077 ส่วนโฉนดเลขที่ 48670 โจทก์ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้
จำเลยยื่นคำแถลงลงวันที่ 12 มิถุนายน 2540 ว่า จำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 48670เนื้อที่ประมาณ 8.1 ตารางวา ไปทำถนนท่อระบายน้ำ เป็นสาธารณูปโภคของที่ดินจัดสรร จำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์จึงขอแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคออกและขอใช้ค่าที่ดินส่วนที่แบ่งแยกแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามที่จำเลยขอ
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 13 ตุลาคม 2540 ว่า ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตไปโดยผิดหลงเนื่องจากศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 48670 คืนโจทก์ทั้งแปลงและสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสีย พร้อมทั้งมีคำสั่งให้จำเลยส่งมอบโฉนดเลขที่ 48670 ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตตามคำแถลงของจำเลยลงวันที่ 12 มิถุนายน 2540 นั้นเสียและให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าจำเลยมีสิทธิเลือกปฎิบัติ ตามคำพิพากษา โดยขอชดใช้ราคาแทนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3077และที่ดินโฉนดเลขที่ 48670 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหรือให้จำเลยใช้เงินค่าที่ดินแก่โจทก์ส่วนที่จำเลยไม่สามารถโอนคืนแก่โจทก์ได้นั้น เป็นเรื่องที่กำหนดให้จำเลยกระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับในคำพิพากษา แม้ในคำพิพากษาดังกล่าวจะใช้คำว่า “หรือให้จำเลยใช้เงินค่าที่ดินแก่โจทก์” แต่ในตอนท้ายก็ระบุว่า เป็นเงินค่าที่ดินส่วนที่จำเลยไม่สามารถโอนคืนแก่โจทก์ได้ ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างแรกก่อนเมื่อไม่อาจปฏิบัติได้จึงค่อยปฏิบัติอย่างหลังหาใช่ให้สิทธิจำเลยเลือกปฏิบัติในการชำระหนี้โดยตามอำเภอใจเมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าข้ออ้างของจำเลยที่ไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เหตุพ้นวิสัย จำเลยจึงไม่มีสิทธิชดใช้ราคาที่ดินพิพาทแทนการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาท เพื่อให้โจทก์ไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แทนจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไปมีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 ให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่ดินส่วนที่แบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ไม่ได้แทน โดยที่ศาลชั้นต้นมิได้ส่งสำเนาคำร้องของ โจทก์ เพื่อให้จำเลยมีโอกาสคัดค้านก่อนชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่ เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่ดินแทนการที่จำเลยจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ก่อน โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยจนทำให้จำเลยไม่สามารถโอนได้นั้นคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่สั่งไปโดยผิดหลงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลเห็นสมควร ย่อมมีอำนาจที่สั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียทั้งหมดหรือบางส่วนได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 การที่ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องของ โจทก์ให้จำเลยทราบ จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2) ดังจำเลยฎีกาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share