คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลฎีกาที่อนุญาตให้จำเลยในคดีนี้ทุเลาการบังคับคดีในคดีอื่น โดยมีเงื่อนไขห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทระหว่างฎีกานั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยตกลงโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และศาลพิพากษาตามยอม ในระหว่างที่คำสั่งดังกล่าวยังมีผลบังคับ การทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการ ฝ่าฝืนคำสั่งของศาลฎีกา อีกทั้งโจทก์คดีนี้ก็มิได้เป็นคู่ความ ในคดีก่อน ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์นั้นถือได้ว่าเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นในคดีนี้ยกเลิกคำสั่งของศาลฎีกาเกี่ยวกับการทุเลาการบังคับคดีซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นคดีนี้ยกเลิกคำสั่ง ของศาลฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเวลา 5 ปีเป็นเงิน 750,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระ ขอให้ยึดทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ตามฟ้องจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีข้อความว่าจำเลยยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 14442 ตำบลราษฎร์นิยม (ไทรใหญ่) อำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี ทั้งแปลงให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้จำนองตามฟ้อง ทั้งนี้ภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์ได้ไปขอจดทะเบียนโอนชื่อในโฉนดที่ดินจากชื่อของจำเลยเป็นชื่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้อ้างว่ามีคำสั่งของศาลฎีกาอายัดที่ดินแปลงดังกล่าว และมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 3 คือ จำเลยคดีนี้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดนี้ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535 ของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทให้แก่โจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อม ในวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นสอบจำเลยรับว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดพิพาทนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์คดีนี้โดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลฎีกา ทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดพิพาท ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 14442 ตำบลราษฎร์นิยม (ไทรใหญ่) อำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี คดีเดิมนายบ๊วย ชุนอ่อน เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535 ของศาลชั้นต้น เรื่องพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2535 ให้นายบ๊วย โจทก์คดีเดิมมีสิทธิซื้อที่ดินคืนจากจำเลย หากจำเลยไม่ยอมขายให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและระหว่างฎีกาจำเลยขอทุเลาการบังคับศาลฎีกามีคำสั่งคำร้องที่ 1465/2538 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2538อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีไว้ แต่ห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2538โจทก์คดีนี้ได้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยต่อศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้โจทก์และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2538 หลังจากนั้นโจทก์ไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางบัวทอง ให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าว แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เนื่องจากมีคำสั่งคำร้องของศาลฎีกาดังกล่าว วันที่ 25 เมษายน 2539 ศาลฎีกาในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้นายบ๊วยใช้สิทธิซื้อที่พิพาทจากจำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาเห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535 ของศาลชั้นต้นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กับคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีของศาลฎีกาตามคำสั่งคำร้องที่ 1465/2538 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2538 ที่มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีโดยมีเงื่อนไข ห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกานั้น มีผลบังคับอยู่ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาตามยอม เมื่อยังไม่มีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลย การที่จำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลฎีกาอีกทั้งโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนคำแถลงของโจทก์ในคดีนี้ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์นั้นถือได้ว่าเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นในคดีนี้ยกเลิกคำสั่งของศาลฎีกาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคนละคดีกันและถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามของศาลฎีกาในอีกคดีหนึ่งเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนสิทธิให้แก่ตน ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share