แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ทรัพย์สินของจำเลยจะติดจำนองธนาคารก็ถือว่าทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นทรัพย์สินของจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าธนาคารอื่น ๆ ที่รับจำนองทรัพย์สินของจำเลยไว้มีการบังคับจำนองบ้างแล้วหรือไม่ หรือมีจำนวนหนี้จำนองท่วมราคาทรัพย์หรือไม่ก็ไม่มีหลักฐานปรากฏ ประกอบกับจำเลยได้พยายามติดต่อโจทก์เพื่อขอชำระหนี้มิได้หลบหนี ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังมิได้ดำเนินการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อจัดการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยนำเงินมาชำระหนี้ ทั้งการฟ้องคดีล้มละลายที่จะขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โดยตรง แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้แก่บรรดาเจ้าหนี้ของลูกหนี้ด้วยแล้ว เมื่อจำเลยยังมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และจำเลยยังมีอาชีพประกอบกิจการค้าขายยังพอมีรายได้จึงมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 239/2530 ของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วแต่ไม่พอชำระหนี้มีหนี้คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 887,137.33 บาทจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่โจทก์จะบังคับคดีได้อีก พฤติการณ์ของจำเลยเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2530ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 239/2530 ให้จำเลยชำระเงิน520,779.19 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 326,266.27 บาท ให้โจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์ขอหมายบังคับคดีแก่จำเลยและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4400 ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีที่จำนองเป็นประกันออกขายทอดตลาดแต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์คำนวณหนี้ตามคำพิพากษาจำนวนสุทธิถึงวันฟ้องเป็นเงิน887,137.33 บาท จำเลยจึงเป็นหนี้กำหนดจำนวนได้แน่นอนและเป็นหนี้จำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวจำเลยจึงมีภาระต้องนำสืบว่าจำเลยมิได้เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้โจทก์หรือมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่โจทก์จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ข้อนี้ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า นอกจากที่ดินที่จำนองเป็นประกันของจำเลยที่โจทก์ได้ยึดขายทอดตลาดไปแล้วจำเลยยังมีทรัพย์สินเป็นที่ดินอีกสองแปลงตามที่ดินโฉนดเลขที่ 1686 และ1309 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินทั้งสองโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินทั้งสองโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนี้แม้จำเลยจะเบิกความรับว่าได้นำไปจำนองไว้กับธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาปัตตานี จำนวนเงิน 4,000,000 บาท แต่ได้ความจากคำเบิกความของนายสมศักดิ์ เพชรศรี พยานโจทก์ว่า ทราบว่าจำเลยมีที่ดินตั้งอยู่ในตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี หนึ่งแปลงติดจำนองธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่ดินมีสิ่งปลูกสร้างเป็นที่ตั้งตั้งร้านนิวเกียวโต และเชื่อว่า มีราคาสูงกว่า 5,000,000 บาททั้งยังได้ความต่อไปว่าพยานได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อของโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีที่ดินหลายแปลง แต่ทุกแปลงติดจำนองธนาคาร ทั้งก่อนที่พยานจะมาเบิกความประมาณ 3 เดือน จำเลยก็เคยไปพบกับพยานเพื่อเจรจาเรื่องการชำระหนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอยู่ แม้ทรัพย์สินจะติดจำนองธนาคารก็ถือว่าทรัพย์สินจะติดจำนองธนาคารก็ถือว่าทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นทรัพย์สินของจำเลยอีกทั้งไม่ปรากฏว่าธนาคารอื่น ๆ ที่รับจำนองทรัพย์สินของจำเลยไว้มีการบังคับจำนองบ้างแล้วหรือไม่หรือมีจำนวนหนี้จำนองท่วมราคาทรัพย์หรือไม่ก็ไม่มีหลักฐานปรากฏ ทั้งจำเลยยังได้พยายามติดต่อโจทก์เพื่อขอชำระหนี้มิได้หลบหนี เห็นว่าเมื่อโจทก์ยังมิได้ดำเนินการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเท่าที่ปรากฏเพื่อจัดการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยนำเงินมาชำระหนี้ ทั้งการฟ้องคดีล้มละลายที่จะขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โดยตรงแต่เป็นเพียงวิธีการจัดการทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้แก่บรรดาเจ้าหนี้ของลูกหนี้ด้วยแล้ว เมื่อฟังได้ว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และจำเลยยังมีอาชีพประกอบกิจการค้าขายยังพอมีรายได้จึงมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน