แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เดิมจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับโจทก์แต่ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้ จึงได้ทำสัญญา ทรัสต์รีซีทกับโจทก์เพื่อขอรับเอกสารจากโจทก์ไปรับสินค้าก่อน แล้วจะชำระเงินแก่โจทก์ภายหลัง ต่อมาจำเลยที่ 1 รับสินค้า ไปแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นหนี้โจทก์ ตามสัญญาทรัสต์รีซีท มิใช่เป็นหนี้ตามตั๋วแลกเงินอันเป็นหนี้ คนละส่วนแยกต่างหากจากกัน หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ ย่อมมีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายใน 10 ปี หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทยังไม่ขาดอายุความ ตามใบแจ้งยอดหนี้ทรัสต์รีซีทมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหนี้และการคำนวณดอกเบี้ย ซึ่งสามารถทราบยอดหนี้ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทจำนวนเท่าใดหนี้จำนวนนี้จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำนวน 1,195,191.71 บาท ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 28,344,739.27 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น29,539,930.98 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันก่อนฟ้องโจทก์ประเมินราคาทรัพย์จำนองเป็นเงิน 7,676,000 บาทเมื่อหักกับจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์จำเลยทั้งสามยังคงเป็นหนี้โจทก์ 21,863,930.98 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว และเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 500,000 บาท จำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าคนละ 50,000 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการค้าระหว่างประเทศ มีความสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว แต่โจทก์บีบบังคับไม่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1ผ่อนชำระหนี้กลั่นแกล้งให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย และไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ สิทธิเรียกร้องตามตั๋วแลกเงินที่ธนาคารตัวแทนโจทก์ส่งให้โจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 นั้น พ้น 6 เดือน จึงขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาทรัสต์รีซีท และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน โจทก์ตีราคาหลักประกันต่ำเพื่อจะฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14และพิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า เดิมจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิต จึงได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์เพื่อขอรับเอกสารจากโจทก์ไปรับสินค้าก่อนแล้วจะชำระเงินแก่โจทก์ภายหลัง ต่อมาจำเลยที่ 1 รับสินค้าไปแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีท มิใช่เป็นหนี้ตามตั๋วแลกเงินอันเป็นหนี้คนละส่วนแยกต่างหากจากกันสำหรับหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ ย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายใน 10 ปี หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
สำหรับข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า มูลหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทยังไม่แน่นอนนั้น ประเด็นข้อนี้แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่า ตามใบแจ้งยอดหนี้ทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.19 มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหนี้และการคำนวณดอกเบี้ยซึ่งสามารถทราบยอดหนี้ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทจำนวนเท่าใด ดังนั้นหนี้จำนวนนี้จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน