คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4381/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยปลอมลายมือชื่อ ว. ในหนังสือสัญญา ขายที่ดินพิพาท กับที่จำเลยปลอมลายมือชื่อ ว. ในหนังสือมอบอำนาจแล้วใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปยื่น ขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้ ร. เป็นเหตุการณ์และระยะเวลาห่างกันประมาณ 8 เดือนเศษ โดยไม่ปรากฏว่า มีความมุ่งหมายเดียวกันจึงเป็นการกระทำต่างกรรมและ ต่างเจตนากันเป็นความผิดสองกรรม หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้มอบอำนาจมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนผู้มอบอำนาจเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิแต่อย่างใด จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิ การที่จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจจึงเป็นความผิด ฐานปลอมเอกสารและใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก,268 วรรคแรก ประกอบ มาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 266, 268, 335, 357, 90, 91 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาโฉนดที่ดินรวม 2 ฉบับ จำนวน 412 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยในคดีนี้ ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 604/2536 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณานายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเช้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 (ที่ถูก 266(1)), 268 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 265การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้เรียงกระทงลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ(มาตรา 266(1)) จำคุก 3 ปี ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม (มาตรา 268 วรรคสอง) จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 5 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนข้อหาอื่นและคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาโฉนดที่ดินให้ยกส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 604/2536 คดีหมายเลขแดงที่ 559/2537 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ให้ยกคำขอในส่วนนี้ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นเอกสารราชการ ตามมาตรา 266(1)จำคุก 2 ปี ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิหนังสือมอบอำนาจปลอมตามมาตรา 268 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปีคำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยเฉพาะข้อที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับมาว่า การที่จำเลยปลอมลายมือชื่อของนายวุฑฒินันท์ เอี่ยมจรัส ในหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.6 และต่อมาจำเลยปลอมลายมือชื่อนายวุฑฒินันท์ในหนังสือมอบอำนาจ แล้วใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงมาว่าจำเลยปลอมลายมือชื่อนายวุฑฒินันท์ เอี่ยมจรัส ในหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาท เอกสารหมาย จ.6 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2534สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วกระทงหนึ่ง ต่อมาวันที่ 10 กรกฎาคม 2535จำเลยปลอมลายมือชื่อนายวุฑฒินันท์ ในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.7 แล้วใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปยื่นขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้นายวรวิทย์ วัฒนวาณิชกร พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยปลอมลายมือชื่อนายวุฑฒินันท์ในหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทกับที่จำเลยปลอมลายมือชื่อนายวุฑฒินันท์ในหนังสือมอบอำนาจ แล้วใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปยื่นขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้นายวรวิทย์ เป็นเหตุการณ์และระยะเวลาห่างกันประมาณ 8 เดือนเศษ โดยไม่ปรากฏว่ามีความมุ่งหมายเดียวกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมและต่างเจตนากัน อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกันหาใช่เป็นกรรมเดียวไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อนายวุฑฒินันท์ในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.7 และใช้หนังสือมอบอำนาจปลอม เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสองนั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้มอบอำนาจ มอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนผู้มอบอำนาจเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิแต่อย่างใด จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตามความหมายแห่งกฎหมาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก,268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและปรับลงโทษจำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 วรรคแรก, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 8 เดือน รวมกับโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share