แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับแรกขอให้ยกเลิกการส่งมอบห้องพิพาท 11 ห้อง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบให้แก่โจทก์โดย อ้างว่า การส่งมอบไม่ถูกต้องเพราะคดียังไม่ถึงที่สุดศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบห้อง พิพาททั้งสิบห้าห้องรวมทั้งทรัพย์สินให้แก่โจทก์แล้ว จึง ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาและไต่สวนคำร้องของ ผู้ร้องอีกต่อไป ให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งวินิจฉัย ชี้ขาดในประเด็นที่ผู้ร้องขอให้ยกเลิกการส่งมอบห้องพิพาท 11 ห้อง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบให้แก่โจทก์แล้ว หากผู้ร้องไม่พอใจอย่างไร ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้น ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ผู้ร้อง กลับมายื่นคำร้องอีกฉบับว่าการส่งมอบห้องพิพาทไม่ถูกต้อง ผู้ร้องยังครอบครองห้องพิพาทอีก 4 ห้อง การบังคับคดียังไม่ เสร็จสิ้น และการด่วนคืนห้องพิพาทให้แก่โจทก์ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้อง ขอให้ไต่สวนคำร้องของ ผู้ร้องฉบับแรกและคืน ห้องพิพาททั้งสิบห้าห้องให้แก่ผู้ร้อง คำร้องฉบับหลังจึง มีข้ออ้างเช่นเดียวกับคำร้องฉบับแรก แม้จะมีคำขอต่างกัน โดยขอให้ไต่สวนคำร้องฉบับแรกและขอให้คืนห้องพิพาททั้ง สิบห้าห้อง ก็สืบเนื่องมาจากประเด็นข้อพิพาทเดียวกัน จึง เป็นการขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดี หรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และปัญหาเรื่องการดำเนิน กระบวนพิจารณาซ้ำเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวที่เช่าศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 933/3 และ 933/4จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2535 เจ้าพนักงานบังคับคดีนำประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดไว้ที่ตึกแถวเลขที่ดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่า ผู้ร้องทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทชั้นที่ 2 ถึงที่ 4 จากจำเลย มีกำหนดเวลาเช่าตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2529 ถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2547 โดยผู้ร้องได้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาททั้งสามชั้นให้แก่จำเลยเป็นเงิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าโจทก์ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยต่อเติมตึกแถวพิพาทชั้นดังกล่าวเพื่อให้จำเลยนำออกให้ผู้อื่นเช่าอีกต่อหนึ่ง อันเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยและเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกเมื่อผู้ร้องทำสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวจากจำเลย จึงเท่ากับผู้ร้องในฐานะบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาที่โจทก์และจำเลยทำไว้ ผู้ร้องจึงมิใช่บริวารของจำเลยขอให้ไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยให้โจทก์จดทะเบียนการเช่าตึกแถวพิพาทชั้นที่ 2 ถึงชั้นที่ 4ให้แก่ผู้ร้องนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2547หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยต่อเติมห้องได้ 3 ชั้น ชั้นละ 5 ห้อง รวม 15 ห้อง และห้องน้ำ 9 ห้องเพื่อให้คนเช่าเท่านั้น มิใช่ให้เช่าทั้งชั้นจำเลยกับผู้ร้องทำสัญญาเช่าชั้นที่ 2 ถึงชั้นที่ 4 ขัดกับเจตนาของโจทก์ จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2530 โดยศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร ผู้ร้องซึ่งเข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยจึงเป็นบริวารของจำเลย ไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทอีกต่อไปขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดไต่สวนพยานผู้ร้อง ศาลชั้นต้นให้งดไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้องผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่11 สิงหาคม 2537 ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง และย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของ ผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2538 ในระหว่างที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิจารณาอุทธรณ์และฎีกาของผู้ร้องอยู่นั้น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2537เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบตึกแถวพิพาทชั้นที่ 2 ห้องหมายเลข1, 2, 4 และ 5 ชั้นที่ 3 ห้องหมายเลข 2, 3, 4 และ 5ชั้นที่ 4 ห้องหมายเลข 1, 3 และ 5 รวม 11 ห้อง ให้แก่โจทก์ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2537 (ในสำนวนการบังคับคดี) และเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2538 เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบตึกแถวพิพาทเลขที่ 933/3 และ 933/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหลัง ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2538(ในสำนวนการบังคับคดี)
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2538 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าคดีนี้ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองและย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของ ผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นได้นัดไต่สวนคำร้องวันที่17 ตุลาคม 2538 เท่ากับคดีที่ผู้ร้องอ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยังไม่ถึงที่สุด ผู้ร้องเป็นผู้เช่าช่วงโดยชอบ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิใช้สอยห้องพิพาทที่เช่าช่วงจนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย การส่งมอบห้องพิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ถูกต้องเพราะคดียังไม่ถึงที่สุดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้แล้วขอให้มีคำสั่งยกเลิกการส่งมอบห้องพิพาท 11 ห้อง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22ธันวาคม 2538 ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบห้องพิพาททั้งสิบห้อง รวมทั้งทรัพย์สินให้แก่โจทก์ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2538 แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาและไต่สวนคำร้องของผู้ร้องอีกต่อไป ให้ยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ 18 มกราคม 2539 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องยังครอบครองห้องพิพาทที่เหลืออีก 4 ห้อง การส่งมอบห้องครั้งหลังเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเขียนรายงานเอาเองและคลุมเครือโดยไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าส่งมอบห้องพักอีก 4 ห้องให้แก่โจทก์ เมื่อศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง จึงเท่ากับเริ่มต้นคดีใหม่ การด่วนคืนห้องพิพาทให้แก่โจทก์ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้อง ขอให้ไต่สวนคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2538 และคืนห้องพิพาททั้งสิบห้าห้องให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ร้องเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2538 นั้น ชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำไปตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2537 และวันที่ 10 สิงหาคม 2538 โดยให้โจทก์ส่งมอบการครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่ 933/3 และ 933/4 ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ชั้น 2, 3 และ 4 คืนให้แก่ผู้ร้อง แจ้งคำสั่งพร้อมสำเนาคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องโดยเห็นว่าคำร้องของ ผู้ร้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ชอบหรือไม่ เห็นว่าผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับแรกลงวันที่ 15 กันยายน 2538 ขอให้ยกเลิกการส่งมอบห้องพิพาท 11 ห้อง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบให้แก่โจทก์โดยอ้างว่า การส่งมอบไม่ถูกต้องเพราะคดียังไม่ถึงที่สุด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าได้เรียกสำนวนการบังคับคดีจากเจ้าพนักงานบังคับคดีมาตรวจสอบแล้วปรากฏว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบห้องพิพาททั้งสิบห้าห้องรวมทั้งทรัพย์สินให้แก่โจทก์ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2538 แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาและไต่สวนคำร้องของ ผู้ร้องอีกต่อไป ให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่ผู้ร้อง ขอให้ยกเลิกการส่งมอบห้องพิพาท 11 ห้อง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบให้แก่โจทก์แล้ว หากผู้ร้องไม่พอใจอย่างไร ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ ผู้ร้องกลับมายื่นคำร้องฉบับลงวันที่18 มกราคม 2539 อีกว่าการส่งมอบห้องพิพาทไม่ถูกต้อง ผู้ร้องยังครอบครองห้องพิพาทอีก 4 ห้อง การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นและการด่วนคืนห้องพิพาทให้แก่โจทก์ไม่เป็นรูปธรรมแก่ผู้ร้องขอให้ไต่สวนคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2538และคืนห้องพิพาททั้งสิบห้าห้องให้แก่ผู้ร้อง คำร้องฉบับหลังจึงมีข้ออ้างเช่นเดียวกับคำร้องฉบับแรก แม้จะมีคำขอต่างกันโดยขอให้ไต่สวนคำร้องฉบับแรกและขอให้คืนห้องพิพาททั้งสิบห้าห้องก็สืบเนื่องมาจากประเด็นข้อพิพาทเดียวกัน จึงเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำจึงชอบแล้ว และปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนที่ผู้ร้องขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนการบังคับคดีที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องว่ากล่าวมาตราลำดับชั้นศาล มิใช่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน