คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิ ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งหมายความว่าห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้นโจทก์เป็นบุตรที่จำเลยรับรองแล้วแต่จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยต่อเมื่อจำเลยและมารดาโจทก์สมรสกันภายหลังหรือจำเลยได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547เมื่อไม่มีการดำเนินการดังกล่าว โจทก์จึงมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีไม่ได้ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง20 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก) เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1321เนื้อที่ 3 ไร่ 2 ตารางวา จำนวนครึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ หากแบ่งทรัพย์ไม่ได้ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นบิดาโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามตามกฎหมายมิให้ฟ้องจำเลยเพราะเป็นคดีอุทลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินตามโฉนดดังกล่าวไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยซึ่งได้มาโดยรับมรดกจากนางสำรวย ประมวลรัตน์ มารดาจำเลยเพียงผู้เดียวโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยเนื่องจากโจทก์ออกอุบายหลอกลวงสัญญาว่าจะเลี้ยงดูจำเลยและส่งเสียน้องให้เล่าเรียน จำเลยหลงเชื่อยอมให้โจทก์ลงชื่อร่วมในโฉนด แต่โจทก์หาได้ปฏิบัติตามสัญญาไม่ ฟ้องโจทก์ไม่ระบุชัดเจนว่าโจทก์ครอบครองส่วนใดของที่ดินจำนวนเนื้อที่เท่าใด จำเลยไม่สามารถเข้าใจคำฟ้องโจทก์ได้ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำมาหากินบนที่ดินแปลงดังกล่าว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบุตรจำเลย จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกันจำเลยให้โจทก์ใช้นามสกุลจำเลย และบุคคลทั่วไปทราบว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลย มีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์เป็นบุตรที่จำเลยรับรองแล้วก็ตามแต่จำเลยและมารดาโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกันโจทก์จึงเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เพราะโจทก์จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยต่อเมื่อจำเลยและมารดาโจทก์ได้สมรสกันในภายหลัง หรือจำเลยได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1547 บัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งไม่ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว และตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญานั้นเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งต้องหมายความว่า ห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้น เมื่อโจทก์มิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก)เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share