คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงผู้เดียวที่ประสบเหตุการณ์รายนี้เป็นพยาน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง13 ปีเศษ และกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ทั้งไม่ปรากฏเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยง กันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาปรักปรำผู้ใดให้ต้องรับโทษ ประกอบกับการที่ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เสียหายต้องอับอายเสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล กรณีไม่มีเหตุผลที่ผู้เสียหายจะต้องกลั่นแกล้งกล่าวหาผู้ใดหากไม่เป็นความจริง อีกทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายก็ตรงไปตรงมาตามความจริงที่ตนประสบจึงมีน้ำหนักรับฟัง นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่เป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพจึงย่อมสนับสนุนถ้อยคำของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นและรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกอบมาตรา 83 ในระหว่างมีการกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยที่ 3อยู่รู้เห็นเหตุการณ์เวลาที่จำเลยที่ 2 กับ ด.และป. ชวนกันจับขา ปิดตา และถอดกางเกงของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 พูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายร้องพฤติกรรมของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3มีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วย แม้ต่อมาจำเลยที่ 1และ ป. จะเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามลำพังแต่ละคนก็ตาม แต่สภาพของผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำเลยที่ 4 เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันโทรมเด็กหญิงเท่านั้นโดยจำเลยที่ 4 นั่งดมกาวอยู่บนรถสามล้อเครื่อง ภายในห้องเกิดเหตุ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้กระทำการใดที่แสดงว่ามีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยการที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้พูดห้ามปรามผู้กระทำ ความผิดรายนี้ ซึ่งมีแต่พวกวัยรุ่นเพื่อของจำเลยที่ 4 รวม 5 คน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองได้ พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกอีก 2 คนทีหลบหนีร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงวัชนี บัวศรี ผู้เสียหายอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ทั้งนี้จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกระทำความผิดด้วยกันโดยผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 190/2537 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,83, 58 และให้นำโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นำโทษมาบวกเข้ากับคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 83 ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 4 อายุไม่เกิน 17 ปี และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อายุยังไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75, 76 ประกอบมาตรา 53 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 25 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 16 ปี 8 เดือนให้นำโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 190/2537ของศาลชั้นต้นมาบวกกับโทษของจำเลยที่ 1 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 18 ปี 8 เดือน
จำเลยที่สี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงผู้เดียวที่ประสบเหตุการณ์รายนี้เป็นพยาน แต่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง 13 ปีเศษ และกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งไม่ปรากฏเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยงกันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาปรักปรำผู้ใดให้ต้องรับโทษประกอบกับการที่ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เสียหายต้องอับอายเสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูลกรณีไม่มีเหตุผลที่ผู้เสียหายจะต้องกลั่นแกล้งกล่าวหาผู้ใดหากไม่เป็นความจริง อีกทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายก็ตรงไปตรงมาตามความจริงที่ตนประสบจึงมีน้ำหนักรับฟัง นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิบตำรวจตรีสำเริง น่วมอินทร์ ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่เป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ย่อมสนับสนุนถ้อยคำของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ที่จำเลยที่ 3 นำสืบอ้างว่าขณะเกิดเหตุตนกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ขับนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเกิดเหตุไปซื้อสุรานั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวแล้วได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในระหว่างมีการกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยที่ 3 อยู่รู้เห็นเหตุการณ์เวลาที่จำเลยที่ 2 กับนายดิเรกหรือบีและนายประยุทธ์หรือยงยุทธ์หรืออ้วนช่วยกันจับขา ปิดตาและถอดกางเกงของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 พูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายร้อง พฤติกรรมของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดรายนี้ด้วย แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 และนายประยุทธ์หรือยงยุทธ์หรืออ้วนจะเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามลำพังแต่ละคนก็ตามแต่สภาพของผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงตามฟ้อง ส่วนคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 4ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดการกระทำความผิดคดีนี้เท่านั้น โดยจำเลยที่ 4นั่งดมกาวอยู่บนรถสามล้อเครื่องภายในห้องเกิดเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้กระทำอะไรที่แสดงว่ามีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยการที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้พูดห้ามปรามผู้กระทำความผิดรายนี้ซึ่งมีแต่พวกวัยรุ่นเพื่อนของจำเลยที่ 4 รวม 5 คน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแล้วยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share