คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

องค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเท่านั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช.แล้วช.นำเช็คพิพาทมามอบให้แก่โจทก์อีกต่อหนึ่งเมื่อมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยตรงโจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช. เพื่อชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเลยมีต่อช. อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ช.เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำนวน 2 ฉบับ คือ เช็คลงวันที่1 กันยายน 2536 จำนวนเงิน 500,000 บาท และเช็คลงวันที่2 กันยายน 2536 จำนวนเงิน 500,000 บาท รวมเป็นเงิน1,000,000 บาท โดยจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้ง 2 ฉบับ ให้แก่นายชัชวาล ศิริไพบูลย์ เพื่อชำระหนี้แล้วนายชัชวาลได้นำเช็คทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าวมามอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่นายชัชวาลกู้ยืมไปจากโจทก์ตามสัญญากู้ยืมลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2536 จำเลยออกเช็คดังกล่าวให้แก่นายชัชวัลเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อเช็คทั้ง 2 ฉบับถึงกำหนดชำระเงิน ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง 2 ฉบับ การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(3)การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทงจำคุก 16 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ และโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ โดยชอบเมื่อเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับถึงกำหนดสั่งจ่ายโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่ายคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า องค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 นั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับให้แก่นายชัชวาล ศิริไพบูลย์ แล้วนายชัชวาลนำเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ มามอบให้แก่โจทก์อีกต่อหนึ่ง ไม่ใช่เป็นกรณีที่จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยตรงเช่นนี้โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท 2 ฉบับ ให้แก่นายชัชวาลเพื่อชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเลยมีต่อนายชัชวาลอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่จากพยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาคงได้ความจากคำเบิกความของตัวโจทก์แต่เพียงว่า นายชัชวาลได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไป1,000,000 บาท แล้ว นายชัชวาลได้นำเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับซึ่งมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมามอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่นายชัชวาลกู้ยืมโจทก์ดังกล่าวเท่านั้น ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำนายชัชวาลมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลเพื่อยืนยันถึงมูลหนี้ระหว่างนายชัชวาลกับจำเลย อันเป็นมูลเหตุที่ให้จำเลยต้องสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ให้แก่นายชัชวาลดังกล่าวว่าเป็นมูลหนี้อะไร พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอฟังว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ให้แก่นายชัชวาลเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share