คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2044/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองในที่ดินมือเปล่าในเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่ถูกรบกวนการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องเป็นคำให้การต่อสู้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 วรรคสอง ส่วนการถูกแย่งการครอบครอง เป็นกรณีตามบทบัญญัติ มาตรา 1375 วรรคสอง การถูกรบกวน การครอบครองและการถูกแย่งการครอบครองจึงเป็นคนละเรื่องกันเมื่อจำเลยไม่ได้ต่อสู้เรื่องการถูกแย่งการครอบครอง ชอบที่ศาลจะไม่รับวินิจฉัยในปัญหาเรื่องการถูกแย่งการครอบครอง ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่มิได้สั่งให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158ศาลฎีกาจึงสั่งใหม่ให้ถูกต้อง โดยให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์ต่อศาลในนามของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 36 ไร่ 52 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) โจทก์ได้ยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันประมาณ 40 ปีแล้ว จำเลยเป็นบุตรโจทก์ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาหลายปี แต่จำเลยปฏิบัติตนไม่เหมาะสมหลายประการโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยทำกินในที่ดินพิพาทต่อไป จึงบอกกล่าวจำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินพิพาทแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 30,000 บาท นับแต่ปี 2537เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะไม่เกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์จำเลยไม่ได้อาศัยทำนาพิพาทจากโจทก์ จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากยายและได้ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบเปิดเผยเป็นเวลาประมาณ30 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยยุ่งเกี่ยว โจทก์ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองในที่ดินมือเปล่าเกิน 1 ปี นับแต่ถูกรบกวนการครอบครองโจทก์จึงขาดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้อง และโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ในอัตราปีละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะไม่เกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์แล้วมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
ปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การว่าโจทก์ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองในที่ดินมือเปล่าในเวลาเกินกว่า1 ปี นับแต่ถูกรบกวนการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องซึ่งเป็นการให้การต่อสู้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 วรรคสอง แต่การถูกแย่งการครอบครองนั้น เป็นเรื่องตามบทบัญญัติ มาตรา 1375 วรรคสอง การถูกรบกวนการครอบครองและการถูกแย่งการครอบครองเป็นคนละเรื่องกันโดยแท้ จำเลยให้การต่อสู้เรื่องการถูกรบกวนการครอบครองจึงไม่ได้ต่อสู้เรื่องการถูกแย่งการครอบครอง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ชอบแล้ว
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาท แต่มิได้สั่งให้จำเลยชำระค่าศาลในนามของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158 ศาลฎีกาจึงสั่งใหม่ให้ถูกต้อง พิพากษายืน แต่ค่าธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่จำเลยจะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์

Share