คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินเมื่อปี 2531 จาก ส. หลังจากที่โจทก์ซื้อมาโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนแก้ววรวุฒินับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี ทางพิพาทจึงยังไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ แม้เจ้าของที่ดินอื่นได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของตนเกิน 10 ปีแต่เมื่อมิได้ใช้เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์ จึงจะนำระยะเวลาที่เจ้าของที่ดินอื่นใช้ประโยชน์ทางพิพาทดังกล่าวเพื่อทำให้ที่ดินของโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3122 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15597 เดิมที่ดินของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินนายแปลง พรหมสุภา โฉนดเลขที่ 1104 และเป็นภารยทรัพย์ของที่ดินโจทก์ โดยด้านทิศเหนือที่ดินนายแปลงจดที่ดินของโจทก์ ส่วนด้านทิศใต้จดถนนแก้ววรวุฒิ เมื่อปี 2522 นายแปลงแบ่งที่ขายที่ดินดังกล่าวและแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้จ่าสิบตำรวจสุระชัยวิเชียรชัยยะ เป็นโฉนดเลขที่ 15597 เมื่อที่ดินนายแปลงถูกแบ่งแยกเป็นสองแปลงคนละเจ้าของ ที่ดินจำเลยกับที่ดินนายแปลงยังคงเป็นภารยทรัพย์ทั้งสองแปลงตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยทางภารจำยอมกว้าง 2.50 เมตร ยาวประมาณ 35 เมตร ผู้ใช้ที่ดินโจทก์ได้ใช้ทางภารจำยอมออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาให้เป็นทางเข้าออกต่อเนื่องกันมาประมาณ 25 ปี และทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ เนื่องจากที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมต่อมาจำเลยล้อมรั้วบ้านทางทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยเป็นกำแพงคอนกรีตสูงและรุกล้ำคร่อมเข้ามาในทางภารจำยอมให้ทางแคบเหลือกว้างประมาณ 80 เซนติเมตร ไม่สะดวกแก่การใช้ ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็นให้กว้าง2.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยให้จำเลยรื้อรั้วกำแพงคอนกรีตที่คร่อมทางพิพาทด้านทิศตะวันตกที่ดินจำเลย และให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภารจำยอมหรือทางจำเป็นในโฉนดเลขที่ 15597 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่ดินของจำเลยไม่เคยเป็นทางภารจำยอม โจทก์เคยผ่านที่ดินของนายแปลง พรหมสุภาโดยถือวิสาสะ และขอใช้เส้นทางดังกล่าวด้วยความยินยอมขายนายแปลงโจทก์จึงไม่มีสิทธิอ้างเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็นได้ เพราะด้านทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทกว้าง 2 เมตร โดยรวมกับทางที่เหลืออยู่ 70 เซนติเมตร ที่โจทก์ใช้เข้าออกในปัจจุบัน ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลย ให้จำเลยรื้อรั้วกำแพงคอนกรีตที่คร่อมทางพิพาทตลอดแนวที่ดินจำเลยด้านทิศตะวันตก และให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภารจำยอมดังกล่าวในโฉนดเลขที่ 15597 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายณ สำนักงานที่ดิน จังหวัดหนองคาย หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและมิได้โต้แย้งในชั้นนี้รับฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 3122 ทิศใต้จดที่ดินของนายแปลง พรหมสุภา จำเลยเป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 15597 โดยทิศตะวันตกของที่ดินติดกับที่ดินของนายแปลง ระหว่างที่ดินของนายแปลงกับจำเลยมีทางพิพาทใช้เป็นทางเดินเข้าออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิ ทิศเหนือของที่ดินจำเลยติดที่ดินของนายแปลงอีกแปลงหนึ่ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านเมื่อปี 2531 จากนางสุดาพร แก้วประทีป และโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิหลังจากที่โจทก์ซื้อมาดังนั้น เมื่อนับถึงวันฟ้อง การใช้ทางพิพาทเพื่อเป็นทางเข้าออกที่ดินโจทก์จึงยังไม่ถึง 10 ปี ส่วนที่โจทก์อ้างว่าก่อนที่โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากนางสุดาพร นางสุดาพรและผู้เช่าบ้านได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิมานานนับ 10 ปีแล้วความข้อนี้โจทก์มิได้นำตัวนางสุดาพรหรือผู้เช่าบ้านมาสืบให้สมตามคำอ้าง ลำพังคำเบิกความของโจทก์จึงยังไม่มีน้ำหนักพอส่วนพยานปากอื่นของโจทก์อันได้แก่นางนวล และนายดาบตำรวจสมรซึ่งเบิกความยืนยันว่า ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกมานานเกิน10 ปีแล้ว นั้น ก็หาใช่เพื่อประโยชน์ของที่ดินโจทก์ไม่ แต่เพื่อประโยชน์ของที่ดินตนเองเท่านั้น ดังนั้น จะนำระยะเวลาที่เจ้าของที่ดินแปลงอื่นใช้ประโยชน์ทางพิพาทดังกล่าวเพื่อทำให้ที่ดินของโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 หาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์ที่ดินของตนติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทในฐานะเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากรายงานกระบวนพิจารณาในการเดินเผชิญสืบศาลชั้นต้นว่า หลังบ้านโจทก์มีทางกว้างประมาณ 70 เซนติเมตรออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยเดินผ่านทางระหว่างบ้าน 2 หลังของนายแถม นาคอินทร์แจ้ง ออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวตรงกับคำเบิกความของนายแถม พยานโจทก์ที่ยอมรับว่าโจทก์และชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้ใช้ทางข้างต้นซึ่งชาวบ้านเรียกว่าซอยลุงแถม เป็นทางเข้าออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิได้อีกทางหนึ่งโดยพยานไม่เคยหวงห้าม ประกอบกับทางพิพาทเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของนายแปลง โจทก์กับพวกก็ได้ใช้ทางดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนแก้ววรวุฒิตลอดมาจนกระทั่งถึงวันที่โจทก์ฟ้องไม่มีผู้ใดปิดกั้นจึงถือไม่ได้ว่าที่ดินโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1349 วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โจทก์จึงไม่มีสิทธิใช้ทางพิพาทในฐานะทางจำเป็นเช่นกัน”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share