คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับ พ. กระทำผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืนลักษณะของความผิดเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของสุจริตชนเป็นอย่างยิ่ง เคหสถานเป็นสถานที่อันพึงได้รับการพิทักษ์และคุ้มครองให้บุคคลได้อยู่อาศัยโดยปลอดภัยและโดยปกติสุขทั้งจำเลยมีอายุถึง 34 ปี ผ่านการใช้ชีวิตมาพอสมควร รู้ผิด รู้ชอบได้ดีแล้ว แม้จำเลยจะมิได้เข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแต่พวกของจำเลยก็เข้าไป กรณีจึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำและแม้จำเลยจะมิเคยกระทำความผิดมาก่อนและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ แต่ลักษณะของความผิดเป็นเรื่องร้ายแรง และกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของสังคม จึงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2539 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยกับนายพยงค์ หน่อยงค์ ร่วมกันปีนรั้วบ้านพักแล้วเข้าไปในบริเวณบ้านพักอันเป็นเคหสถานของนางสาวภาวิณี จันทร์ดีผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วร่วมกันลักพระรูปหล่อพุทธจารย์(โต) 1 องค์ ราคา 500 บาท เบียร์ตราสิงห์ 9 ขวด ราคา360 บาท รวมราคาทรัพย์ 860 บาท ของผู้เสียหายซึ่งเก็บไว้ในเคหสถานดังกล่าวไปโดยสุจริต ในการกระทำผิดดังกล่าว จำเลยกับนายพยงค์ใช้คีมล็อก กระสอบปุ๋ย 2 ใบ และรถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือใช้ในการกระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 336 ทวิ, 73ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม,336 ทวิ จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบรายงานการสืบเสาะแล้ว ไม่มีเหตุรอการลงโทษให้จำเลย ส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่ใช้เดินทางไปกลับเท่านั้น ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงไม่ริบ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกับนายยงค์ หน่อยงค์ กระทำผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ลักษณะของความผิดเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของสุจริตชนเป็นอย่างยิ่ง เคหสถานเป็นสถานที่อันพึงได้รับการพิทักษ์และคุ้มครองให้บุคคลได้อยู่อาศัยโดยปลอดภัยและโดยปกติสุข ทั้งจำเลยมีอายุถึง 34 ปี ผ่านการใช้ชีวิตมาพอสมควร รู้ผิดรู้ชอบได้ดีแล้ว แม้จำเลยจะมิได้เข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหาย แต่พวกของจำเลยก็เข้าไป กรณีจึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ และแม้จำเลยจะมิเคยกระทำผิดมาก่อนและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ แต่ลักษณะของความผิดเป็นเรื่องร้ายแรงดังกล่าวแล้วและกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของสังคม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด1 ปี 6 เดือน และไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share