คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การชี้สองสถานของศาลชั้นต้น หากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่ชอบอย่างไรก็ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพราะคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยจึงจะใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งนั้นต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) เมื่อจำเลยมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหานี้ได้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีการนำชี้หรือทำแผนที่พิพาทประกอบคดีซึ่งหากจำเลยมีความจำนงที่จะดำเนินการเช่นนั้นก็ชอบที่จะแสดงความจำนงต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แต่จำเลยมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้มีการนำชี้หรือทำแผนที่พิพาทประกอบคดีเป็นการไม่ชอบไม่ได้ แบบแจ้งการครอบครองที่ดินแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์แม้จะเป็นสำเนาเอกสารก็ตาม แต่เมื่อเอกสารดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินรับรองความถูกต้องแล้วและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ซักค้านหรือนำสืบให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินนั้นไม่มีหน้าที่รับรองเอกสารดังกล่าวอย่างไร ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 แก้ไขรูปแผนที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 337 เพื่อให้คงเหลือที่ดิน 6 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา โดยปลอดภารจำยอม หากจำเลยทั้งหมดก็ให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขรูปแผนที่ดังกล่าวให้ถูกต้องปลอดภารจำยอมและให้ น.ส.3 ก. เลขที่ 964 ตำบลท่าชนะ อำเภอท่าชนะจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นของโจทก์ และให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันหรือแทนกันถมที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 964 เนื้อที่ 1 ไร่ 60 ตารางวา เป็นของโจทก์กับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ส่วนคำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7ข้อแรกมีว่า การชี้สองสถานของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบตกแก่ฝ่ายใด เห็นว่า หากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7เห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่ชอบอย่างไรก็ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพราะคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยที่ 2ถึงที่ 7 จึงใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งนั้นต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จึงไม่อาจฎีกาในปัญหานี้ได้
ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ฎีกาประการต่อมาว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้มีการนำชี้หรือทำแผนที่พิพาทประกอบคดีเป็นการไม่ชอบนั้น-เห็นว่า หากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 มีความจำนงที่จะดำเนินการเช่นนั้นก็ชอบที่จะแสดงความจำนงต่อศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 หาได้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จึงฎีกาข้อนี้ไม่ได้
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ประการต่อมาว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย จ.1และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.5เป็นที่ดินคนละแปลงกัน และการที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังสำเนาเอกสารในการวินิจฉัยคดีเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้พร้อมกับที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ฎีกาว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้แก่นายชวนถูกต้องหรือไม่ปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่า โจทก์และนายชวนต่างเป็นบุตรของนายลั่นและนางเหี้ยมซึ่งโจทก์และนายชวนต่างอ้างว่า โจทก์และนายชวนได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาจากบิดามารดา โดยโจทก์มีตัวโจทก์และนายชิน ถัดธานี เป็นพยานเบิกความว่าหลังจากโจทก์รับมรดกที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ โดยทำไร่ข้าว ปลูกไผ่และปลูกผักสวนครัว เมื่อปี 2519โจทก์ได้ดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ตามสำเนาแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.4 โดยโจทก์แจ้งว่าที่ดินของโจทก์ทางทิศตะวันตกจดกับที่ดินของนายชวนคือที่ดินหมายเลข 23 ซึ่งนายชวนลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ตามแบบบันทึกการสอบสวนดังกล่าวไว้ด้วย ต่อมาทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวปรากฏว่าที่ดินทางทิศตะวันตกของโจทก์ติดกับที่ดินหมายเลข 23 ของนายชวนเช่นเดิม แม้แบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 แบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.4 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.5 จะเป็นสำเนาเอกสารก็ตาม ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เพราะสำเนาเอกสารดังกล่าวมีนายวิโรจน์ เพชรชื่น เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอท่าชนะ รับรองความถูกต้องแล้ว และจำเลยที่ 2ถึงที่ 7 ก็มิได้ซักค้านหรือนำสืบให้เห็นว่านายวิโรจน์ไม่มีหน้าที่รับรองเอกสารดังกล่าวอย่างไร นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายวิเศษ รักษ์แสงเจ้าพนักงานที่ดินเบิกความว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่นายชวนตามเอกสารหมาย ล.1 คลาดเคลื่อนและทับที่ดินของโจทก์เพราะรูปแผนที่และแนวเขตที่ดินในเอกสารดังกล่าวไม่ตรงกับแนวเขตตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินที่ใช้เป็นหลักฐานในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของนายชวนตามเอกสารหมาย จ.2ระบุไว้ว่าทิศตะวันออกของที่ดินของนายชวนจะติดกับที่ดินของโจทก์แต่เมื่อมีการออกหนังสือการทำประโยชน์ให้นายชวนตามเอกสารหมาย จ.6 แล้ว กลับกลายเป็นว่าที่ดินของนายชวนทางทิศตะวันออกจดคลองท่าอ้อย สมจริงดังที่นายวิเศษพยานโจทก์เบิกความ และชี้ให้เห็นว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 กับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันคือที่ดินพิพาท และศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 2ถึงที่ 7 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายชวนไม่ถูกต้อง ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
พิพากษายืน

Share