แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเจตนายิงผู้เสียหายที่ 1 เนื่องจาก จำเลยถูกผู้เสียหายที่ 1 กับพวก เข้ามา กลุ้ม รุม ทำร้าย จำเลยก่อน จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวเองเพื่อ มิให้ถูกทำร้ายแต่การที่จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรง ยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด โดยผู้เสียหายที่ 1 มีเพียงก้อนหินและไม่ปรากฏว่าพวกผู้เสียหายที่ 1 มีอาวุธ กระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหายที่ 1 ที่บั้นเอวด้านซ้าย สะโพกด้าน ซ้ายและด้านขวา จนผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสถ้าผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้กระสุนปืนยังพลาดไปถูกผู้เสียหายที่ 2และที่ 3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของผู้เสียหาย ที่ 2 และที่ 3 ดังนี้ นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่า กรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 ต้องเป็นกรณีชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและมีบุคคลได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งหมายถึงกรณีที่ไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 60, 80, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น และให้การรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60, 80, 90, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปีลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก6 ปี 8 เดือน ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน รวมโทษในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก9 เดือน รวมจำคุกจำเลย 7 ปี 5 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกนายปัญญา ฐาปโนสถผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณบั้นเอวด้านซ้ายสะโพกด้านซ้ายและด้านขวา และกระสุนปืนที่จำเลยยิงพลาดไปถูกนายสมบัติ อิศรางกุณ ผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณปลายนิ้วนางด้านขวาและพลาดไปถูกนางสาวสมพร หมู่สุขศรี ผู้เสียหายที่ 3ที่บริเวณบั้นเอวด้านซ้าย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเจตนายิงผู้เสียหายที่ 1ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ว่ายิงขู่ขึ้นฟ้าหรือยิงในขณะผู้เสียหายที่ 1ไล่ตามจำเลยมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟังแต่ที่จำเลยอ้างว่าถูกผู้เสียหายที่ 1 ทำร้ายก่อนและพวกผู้เสียหายที่ 1 เข้ามา กลุ้มรุมทำร้ายจำเลยนั้นมีน้ำหนักรับฟังได้ เพราะผู้เสียหายที่ 1 ยอมรับว่าเข้าชกจำเลยก่อน และจากคำเบิกความของพยานโจทก์อีก 2 ปากต่างยืนยันว่า ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยเพียงคนเดียว ข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยยิงผู้เสียหายที่ 1 เพราะถูกผู้เสียหายที่ 1 กับพวกกลุ้มรุมทำร้าย การที่ผู้เสียหายที่ 1เป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทก่อนโดยเข้าชกทำร้ายจำเลยและพวกผู้เสียหายเข้ากลุ้มรุมทำร้าย จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวเองเพื่อมิให้ถูกทำร้าย แต่การป้องกันตัวของจำเลยดังกล่าว จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด โดยปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยเพียงว่าผู้เสียหายที่ 1 มีเพียงก้อนหิน และไม่ปรากฏว่าพวกผู้เสียหายที่ 1 มีอาวุธ เพียงแต่กลุ้มรุมทำร้ายจำเลยเท่านั้น กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 1ที่บั้นเอวด้านซ้าย สะโพกด้านซ้ายและด้านขวา จนผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสแพทย์ให้ความเห็นว่าถ้าผู้เสียหายที่ 1ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตาย นอกจากนี้กระสุนปืนยังพลาดไปถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 นั้น เห็นว่า ความผิดตามบทมาตราดังกล่าว ต้องเป็นกรณีชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและมีบุคคลได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งหมายถึงกรณีที่ไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัสแต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1โดยมีเจตนาฆ่า จนผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส และกระสุนปืนพลาดไปถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 แต่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 60 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 3 ปีลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2